พลิกกลยุทธ์คัดหุ้นเด่นปี 52

พลิกกลยุทธ์คัดหุ้นเด่นปี 52
"BANPU-ADVANC"มาแรง
ที่มา ทันหุ้น

" ดัชนีหุ้นไทยในปี 2552 วิ่ง 380-530 จุด พอร์ตการลงทุนในเดือนม.ค. 2552 ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งในระยะยาว อาทิ หุ้น KBANK / BANPU และ PTT รวมถึงหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง อาทิ ADVANC / QH และ SPALI "

SCRI ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในปี 2552 ในช่วง 380-530 จุด : คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรก เดือน ม.ค. จะเป็นเดือนที่ดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้มากที่สุด (January effect ) เนื่องจากจะเป็นเดือนที่มีการแถลงนโยบายและเริ่มบังคับใช้มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจต่างๆ จากทั้งรัฐบาลไทย และ รัฐบาลสหรัฐฯ (โดย นาย บารัค โอบามา จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. 2552) เชื่อว่าจะส่งผลบวกในเชิงจิตวิทยาที่ดีต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ดี SCRI ประเมินการปรับเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ของตลาดหุ้น จะยังคงเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในภาวะตลาดหมี หรือ Bear rally เท่านั้น และเมื่อผ่านเดือน ม.ค. ไปแล้วโอกาสที่ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ เชื่อว่าจะรายงานออกมาในเชิงลบค่อนข้างมาก โดยเชื่อว่าจะถึงจุดต่ำสุดในช่วง Q2/52

* ในปี 2552 SCRI แนะนำ ลงทุนในกลุ่มที่มีความผันผวนของรายได้ไม่มาก ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เช่น กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มโรงพยาบาล และ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ต้นน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ราคามีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นก่อนหากเศรษฐกิจฟื้นตัว (BANPU / PTTEP / PTT) อย่างไรก็ดี แนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุน ในหุ้น กลุ่มยานยนต์ และโรงกลั่น และให้ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน "หุ้น" เป็น 40% ส่วน "ทองคำ" ให้ลดการเก็งกำไร โดยอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในปี 2552 ได้แก่ สื่อและสิ่งพิมพ์, รับเหมาก่อสร้าง, โรงกลั่น ท่องเที่ยว, เหล็ก และ สินค้าเกษตร

* หุ้นแนะนำประจำปี 2552 ได้แก่ BANPU / ADVANC / CPN / CK / TSTH

* พอร์ตการลงทุนเดือนม.ค. 2552 SCRI แนะนำ ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และหุ้นปันผลเพื่อรองรับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจในปี 2552 : SCRI ประเมินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก อาทิ การออกแผนกระตุ้นการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคของประเทศต่างๆ รวมกว่า 5.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ การเพิ่มสภาพคล่องสู่ระบบของธนาคารกลางทั่วโลกและรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ย ของธนาคารกลางทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นเริ่มคลายความกังวลและสามารถปรับตัวขึ้นได้ในระยะอันใกล้ ดังเห็นได้จากดัชนี VIX Index ที่ปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 52.37 จุด จากจุดสูงสุดที่ระดับ 80 จุด

ดังนั้น พอร์ตการลงทุนในเดือนม.ค. 2552 SCRI ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งในระยะยาว อาทิ หุ้น KBANK / BANPU และ PTT รวมถึงหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง อาทิ ADVANC / QH และ SPALI นอกจากนี้ ยังแนะนำ CPN และ BGH ที่คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2552 จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระดับต่ำ

ทั้งนี้ SCRI ได้ปรับหุ้น LH และ TIPCO ออกจากพอร์ต เนื่องจากราคาหุ้น LH และ TIPCO ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก อีกทั้ง 2 บริษัทยังมีความเสี่ยงจากอุปสงค์การซื้อบ้านและกำลังซื้อที่ยังอยู่ในระดับ ต่ำในช่วง 1H/52 และเลือกหุ้น STEC และ TSTH กลับเข้ามาในพอร์ตการลงทุน เนื่องจากคาดแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านการก่อสร้างโครงการ สาธารณูปโภคขนาดใหญ่จะทำให้งานในมือและอุปสงค์การใช้เหล็กกลับมาขยายตัวอีก ครั้ง

สำหรับรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนในเดือนม.ค. 2552 แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้

หุ้น Big Cap: ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside จากมูลค่าเหมาะสมปี 2552 ในระดับสูง อีกทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานยังเติบโตแข็งแกร่ง แนะนำ ลงทุน KBANK ADVANC และ PTT
หุ้น Commodity: อุปสงค์การใช้ถ่านหินในระยะยาวยังเติบโต ผลักดันให้กำไรสุทธิของ BANPU ให้ยังเติบโตอย่างมั่นคง

หุ้น Consumer Play: แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2551 ที่เติบโตโดดเด่น ทำให้ QH สามารถจ่ายปันผลได้บสูงกว่า 8% ขณะที่การผ่อนปรนมาตรการภาษีอีก 1 ปี ช่วยเสริมกำไรปี 2552 ให้ทรงตัวอยู่ในระดับเหมาะสม

หุ้น Dividend Play: SPALI เป็นหุ้นปันผลที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงทีสุดเท่ากับ 17% ต่อปีเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และมี Backlog ที่แข็งแกร่ง หนุนกำไรในอนาคตเติบโตมั่นคง

หุ้น Growth Stock: ได้รับผลกระทบในวงจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัว เนื่องจาก BGH และ CPN มีการขยายการลงทุนสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในอนาคตยังขยายตัวโดดเด่น



Thunhoon

ตลาดหุ้นแกว่งตัวสูงน้ำมันโลกฟื้น(SET INDEX)

โบรกมองตลาดหุ้นความผันผวนขึ้นหลังทิศทางราคาน้ำมัน ตลาดโลกวิ่งทะยานต่อ ชี้หุ้นไทยได้รับอนิสงส์จากตลาดหุ้นภูมิภาคเอเซียที่ฟื้นตัว ส่งผล SET50 แก่วงตัวในวันสูง ระวังแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นแถว 410-420 จุด ถือ “Long” ไว้ให้ทยอยปิดสถานะบริเวณแนวต้าน 410 ส่วนคนที่ไม่มีสถานะแนะรอเปิด Long ใหม่ที่แนวรับ 385 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประเมินแนวโน้ม SET50 Index ว่า หุ้นกลุ่มพลังงานยังโดดเด่นแต่ต้องระมัดระวังตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนจาก ทิศทางการเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ที่ยังสามารถเดินหน้าต่อได้ โดยเฉพาะ หุ้นกลุ่ม PTT อันได้แก่ PTT, PTTEP, PTTAR,TOP, รวมถึง BANPU ส่งผลให้ SET50 INDEX มีลักษณะแก่วงตัวในวันสูง ขณะที่คาดว่าจะมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นบริเวณแนวต้านจิตวิทยา 410-420 จุด โดยนักลงทุนเริ่มหันไปเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามใน สัปดาห์นี้ คือสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวต่อเนื่อง ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากขึ้น จากทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก คาดสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับอิทธิพลเชิงบวกจาก ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียที่ฟื้นตัวตามตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นอินเดีย

ขณะ ที่แรงหนุนเชิงบวกในหุ้นกลุ่มพลังงานยังเดินหน้าต่อเนื่อง เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่แนวโน้มขาขึ้น ในสัปดาห์นี้หากราคาน้ำมันสามารถยืนรักษาระดับไว้ที่ 58-60 ดอลลาร์ได้ จะช่วยสนับสนุนแนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสขึ้นสู่ระดับ 70 ดอลลาร์ได้ ล่าสุดราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ตลาดกรุงลอนดอน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.67 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 2.83% ปิดที่ระดับ 60.59 ดอลลาร์

สำหรับความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยังมีแนวโน้ม สดใสส่งผลให้ดัชนีค่าระวางเรือ (Baltic Dry Index) ปรับตัวขึ้น 21 จุด โดยสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ของปี 52 ที่ระดับ 2,665 จุด และคาดว่าจะสามารถขึ้นทดสอบระดับ 3,000 จุดได้ อาจจะส่งผลบวกต่อการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มเดินเรือ TTA และ PSL

คาดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำส่งผลดีระยะกลางต่อตลาดหุ้น

ล่า สุดการประชุมของคณะกรรมการการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม คือ 1.25% เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นโลกสร้างความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะผ่านจุดต่ำสุด ไปได้ในครึ่งปีแรก และมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังทำให้ความจำเป็นในการลดอัตราดอกเบี้ยฯ น้อยลง แสดงถึงสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ปรับลดลงมาใกล้ระดับต่ำสุดแล้ว คาดหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางตรงจากนโยบายภาครัฐ ทั้งการบริโภคภายใน (CPALL, BIGC) และ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจากโครงการ Mega Projects ทั้ง CK, ITD, STEC มีโอกาสปรับตัวขึ้น

กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้

นักลง ทุนระยะสั้นที่มีกำไรจากสถานะ “Long” ให้ทยอยปิดสถานะด้วยคำสั่ง “Short” บริเวณแนวต้าน 410 เพื่อทำกำไร สำหรับผู้ที่ไม่มีสถานะใดแนะนำให้รอเปิดสถานะใหม่ด้วยคำสั่ง “Long” ที่บริเวณแนวรับ 385 จุด ให้นักลงทุนเลือกลงทุนในสัญญาส่งมอบเดือนมิถุนายน 2009 (S50M09) เนื่องจากมีสภาพคล่องและสถานะคงค้างที่สูง ส่วนนักลงทุนระยะกลาง รอเปิดสถานะ “Short” เพิ่มที่แนวต้าน 410-420 จุด

แนวรับแนวต้านรายสัปดาห์

ภาพ รวม SET50 INDEX ระยะสั้นอ่อนตัวตัวตามปัจจัยการเมือง ระยะกลางเปิดสถานะ “Short” ตามแนวต้าน 410-420 จุด แนวต้านสัปดาห์นี้อยู่ที่ 400 จุด เหมาะสำหรับการเปิดสัญญา “Short” โดยตั้งจุดตัดขาดทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ 430 จุด ด้วยคำสั่ง “Long”


Thunhoon

เศรษฐกิจไทยมีโอกาส ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ตามทิศทางดอกเบี้ย

ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะมานำเสนอในสัปดาห์นี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจไทย

โดยวานนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ได้รายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2552 ของไทยลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2551 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ และถือว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจาก GDP ติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส โดยไตรมาส 4/2551 นั้น GDP ของไทยลดลงลบ 6.1%

คำถามสำคัญ คือ เศรษฐกิจไทยผ่านจุดที่แย่ที่สุดหรือยัง

ในความเห็นของผมประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสลดลงต่ำสุดแล้ว จากตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2552 ที่ติดลบ 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ในไตรมาส 2-4 จะฟื้นตัวขึ้นเป็นลบ 6.8% ลบ 4.5% และ 1.5% ตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นการประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าการคาดการณ์ เดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจจะลดลงต่ำสุดในไตรมาส 2/2552 ในแง่การเปรียบเทียบแบบไตรมาสเทียบไตรมาสก็คาดว่าในไตรมาส 2/2552 GDP ของไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวในด้านบวกได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจสามารถหลุดพ้นภาวะถดถอยได้

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในการประเมินทิศทางเศรษฐกิจนั้นคงไม่เต็ม 100% ทั้งนี้เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องการบริโภค และการลงทุนของทั้งภาครัฐบาลและเอกชนที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ โดยเฉพาะภาครัฐบาลที่ในปัจจุบันกำลังประสบกับปัญหาการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำ เป้า อาจส่งผลให้การใช้จ่ายและลงทุนล่าช้า สำหรับในด้านที่คาดว่าจะฟื้นตัว คือ การบริโภคของเอกชน ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการอัดฉีดเงิน 2,000 บาท ที่เริ่มต้นในเดือนเม.ย. ซึ่งคงต้องรอดูผลว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากแค่ไหน เนื่องจากในช่วงดังกล่าวเกิดความรุนแรงทางการเมืองเพิ่มขึ้น ประเด็นต่อมาคือ การผลิตด้านอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากคำสั่งซื้อมีการฟื้นตัว

สาเหตุที่ GDP ไตรมาส 1/2552 ต่ำกว่าคาดการณ์

หลังจากผมศึกษาดูรายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2552 แล้วพบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจลดลงมากกว่าคาดการณ์ คือ รายจ่ายเพื่ออุปโภคและบริโภคของรัฐบาลที่ขยายตัว ต่ำกว่าคาดการณ์ และการลงทุนของภาครัฐบาลที่ลดลงสวนทางกับ ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นเป็นผลจากการลดลงของมูลค่าสินค้าคงเหลือ ประเด็นที่อยากจะตั้งเป็นข้อสังเกตอีกครั้ง คือ บทบาทของรัฐบาลในการช่วยพยุงเศรษฐกิจดูเหมือนจะขาดประสิทธิภาพในไตรมาส 1/2552 ดังนั้นจึงประเมินว่าเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ

สัปดาห์หน้าผมจะมาเจาะลึกในประเด็นเรื่องเงินเฟ้อซึ่งบางท่านอาจจะ ลืมไปแล้ว แต่บางท่านยังคงเข็ดไม่หายกับราคาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ทั้งนี้ผมประเมินว่าเงินเฟ้อจะเป็นความเสี่ยงใหม่ต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นเหตุผลเบื้องหลังเหตุผลหนึ่งที่ส่งผลให้ธปท. ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งที่ผ่านมา

ยิ่งสูง....ยิ่งสู้ แม้ว่าเสียว ๆ ก็ตาม ?

ทิศทางการลงทุน ในตลาดหุ้นไทยระยะสั้นดัชนีหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อไป เนื่องจากดัชนียังคงสามารถทำจุดสูงใหม่ได้บริเวณ เหนือแนวต้านทางด้านจิตวิทยาบริเวณ 550 จุดทำให้เป้าหมายระยะสั้นยังเป็นเป้าหมายที่ถูกขยายออกไปด้วยเหตุผลของสภาพ คล่องในการลงทุนระยะสั้นยังสูง ทั้งนี้เพราะไม่มีใครรู้ว่าดัชนีจะปรับฐานราคาเมื่อไหร่ เพราะสัญญาณยังไม่ชัดเจน แต่นักลงทุนก็มีความพร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุน โดยมีการย้ายตัวเล่น และใช้กลยุทธ์ในการติดตามแนวโน้มตลาดอย่างใกล้ชิด ขณะที่ในทางกลับกันนักลงทุนก็ระมัดระวังและพร้อมที่จะขายหุ้นหนี หากบรรยากาศไม่เป็นใจหรือผิดทิศผิดทาง

กรอบการเคลื่อนไหวของ ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้นยังแกว่งตัวในกรอบ 540/530 - 580/600 จุด โดยระยะสั้นคาดว่าความผันผวนของดัชนีจะเริ่มมากขึ้นตามระดับราคาหุ้นที่สูง ขึ้นเช่นกัน และที่สำคัญคือ ดัชนีสูงสุดใหม่นั้น พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นจุดสูงสุดของรอบได้เสมอ เพราะเป้าหมายที่เปลี่ยนไปเนื่องจากประมาณการที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ในภาคปฏิบัติดัชนีอาจจะไม่ถึงเป้าหมายตามที่คาดการณ์ หรือต่ำกว่าเป้าหมาย หรือสูงกว่าเป้าหมายนั้นเป็นไปได้เสมอ แต่สิ่งที่สำคัญคือ หากการเปลี่ยนแปลงทิศทางราคาหุ้นและดัชนีนั้น เราทราบการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หรือไม่ และจะจัดการอย่างไรกลับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพื่อให้ได้ประโยชน์ และทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่สร้างปัญหากับพอร์ตการลงทุน

สำหรับ จิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นยังค่อนข้างเป็นจิตวิทยาตลาดเชิงบวก แม้ว่าความผันผวนของตลาดจะมากก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าตลาดระยะสั้นจะมีการปรับฐานราคาในตัว เช่น การย้ายตัวเล่น การขายทำกำไร ตลอดจนการลดน้ำหนักการลงทุน หากไม่แน่ใจในทิศทางตลาด แต่ที่สำคัญคือ การจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทิศทางตลาดที่คาดว่าในระยะแรกนั้น มีความไม่ชัดเจน ดังนั้น จึงต้องมองสมมติฐานว่า พฤติกรรมตลาดอย่างไรสะท้อนว่าผิดทิศผิดทาง ไก่ทองอ้างอิง 1. ดัชนีสูงสุดและต่ำสุดระหว่างวัน หากดัชนีขึ้นไปสูงมาก ๆ และปิดต่ำกว่าดัชนีเปิดมากกว่า 3 - 5 จุด และต่ำกว่าดัชนีสูงสุดประจำวันมากกว่า 2 เท่าให้ตั้งข้อสังเกตเชิงลบ 2.จำนวนหุ้นบวกและจำนวนหุ้นลบ หากตลาดจะดีจำนวนหุ้นบวกควรมากกว่า หุ้นลบ 2/3 หรือมากกว่า 50 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ซื้อขาย แสดงให้เห็นว่าหุ้นจะเลือกที่จะ "ใส่เสื้อเขียว" ไม่ใช่ "ใส่เสื้อแดง" 3.ราคาหุ้นกลุ่มนำตลาดที่มีอิทธิพลต่อทิศทางดัชนีมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับ ข้อ 1 หรือ 2 หรือไม่ หากใช่ แสดงว่าโอกาสที่ตลาดจะไม่ดีเริ่มชัดเจนขึ้น 4. หากราคาหุ้นหน้าแรกของหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมีความผันผวนมาก คือวิ่งแดนบวกและแดนลบ แต่มีแนวโน้มของการวิ่งในแดนลบมากกว่าแดนบวกแสดงว่าตลาดเริ่มมีแนวโน้มไปทาง ลบ 5. หากมูลค่าการซื้อขายสูงสุด หรือใกล้เคียงมูลค่าสูงสุดที่เคยซื้อขายกันในรอบนั้น ๆ 6. หากตลาดหุ้นต่างประเทศดิ่งเหวถ้วนหน้า ไม่ต้องคิดอะไร เตรียมใส่หลวงพ่อโกยถือเงินสดในหุ้นที่มีกำไร หรือหุ้นที่คิดว่าถือแล้วไม่มีอนาคต เพราะหุ้นกลุ่มนี้เวลาตลาดดีไม่ดี แต่เวลาตลาดไม่ดีก็ไม่ดีตามเขาด้วย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ระยะสั้นคาดว่ายังเน้นการเก็งกำไรในหลักทรัพย์รายตัว ที่คาดว่ายังมีศักยภาพสำหรับการปรับตัวขึ้น ด้วยเหตุผลทั้งด้านสภาพคล่อง โครงสร้างทางเทคนิค และฐานะของกิจการ แต่ระดับราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรืออาจจะยังถูกมองผ่านจากนักเก็งกำไร แต่ที่สำคัญ ควรเป็นหุ้นประเภทที่สามารถสวนกับจิตวิทยาตลาดได้ หากมีความผันผวนเกิดขึ้นระหว่างการซื้อขาย ซึ่งแม้ว่าจะเป็นโจทย์ที่ยากกว่าการเลือกหุ้นประเภทติด Top 40 ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด แต่บ่อยครั้งที่ความสำเร็จอาจจะเกิดขึ้นจากการเลือกหุ้นสำหรับคนที่มองว่า ราคาหุ้นแพงไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่มักจะเกิดขึ้น ในแต่ละภาวะตลาด กล่าวคือ เวลาแนวโน้มตลาดหุ้นอยู่ในทิศทางขึ้น นักลงทุนมักมองจุดต่ำของราคาเป็นจุดอ้างอิง เหมือนรถไฟที่เดินทางออกจากหัวลำโพงขึ้นเหนือแล้ว มาถึงบางซื่อก็ไม่ย้อนกลับไปหัวลำโพงให้คนที่รอขึ้นให้เสียเวลา หากคนที่รออยากไปเชียงใหม่จริง ๆ อาจจะต้องว่าจ้างแท็กซี่ให้วิ่งไปดักหน้ารถไฟที่เชียงราก หรือเปรียบเหมือนกับค่าเงินบาท หรือราคาน้ำมัน ราคาตลาดอยู่ที่ไหน หากคิดจะใช้บริการก็ต้องใช้ราคาตลาด อะไรประมาณนั้น ซึ่งเรื่องอย่างนี้บอกได้เลยว่า "ทำใจลำบาก" แต่หากใจรักก็ต้องตัดสินใจกัน

สำหรับหุ้นที่คาดว่ายังสามารถ หาจังหวะ และโอกาสเสี่ยงในลักษณะกึ่งลงทุนกึ่งเก็งกำไรหากแนวโน้มตลาดยังเป็นใจ แต่หากตลาดไม่เป็นใจก็ถอยมาดูก่อนก็ได้ไม่มีใครบังคับ เพราะซื้อเอง ได้เองเสียเอง ที่สำคัญอย่าเชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผลประกอบการตัดสินใจในการลงทุน โดยหุ้นที่คาดว่าน่าติดตาม เช่น MCOT BEC CPF CPALL APURE ITD เป็นต้น

CPF ฐานแกร่งน่าลงทุน

ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นอย่างแรงเกินคาดทำจุดสูงสุดใหม่ ตามตลาดหุ้นหลายๆ แห่งในเอเชีย บรรยากาศการลงทุนกลับมาคึกคักพร้อมด้วยปริมาณการเทรดที่เพิ่มขึ้นมาก จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์อีกทำให้หุ้นในกลุ่มธนาคาร ไม่ค่อยโดดเด่นเหมือนช่วง 2-3 วันก่อน ความมั่นใจของนักลงทุนกลับมาอีกครั้งหลังตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้สร้าง บ้านในสหรัฐพุ่งตามคาด ที่สำคัญที่สุดคือแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศและแรงซื้อจากกองทุนในประเทศ โดยโบรกเกอร์ฝรั่ง 4 แห่งที่เรามองว่ามีอิทธิพลกับตลาดหุ้นไทยมากที่สุดนั้นพร้อมใจกันซื้อสุทธิ เป็นจำนวนมาก หุ้นที่ขึ้นมาแรงรอบนี้ถึงแม้กำไรของบจ.ที่ประกาศออกมาจะไม่สอดคล้องกับราคา หุ้นที่ขึ้นมาแรง แต่ SET ก็ปรับตัวขึ้นไม่หยุดเพราะสภาพคล่องในระบบที่มีอยู่มาก น่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเงินที่มีผลตอบแทนต่ำมากมาสู่สินทรัพย์ที่มี ความเสี่ยงสูงขึ้น ถึงแม้ปัญหาไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งยังมีการระบาดไปในหลายประเทศ ยังไม่ได้ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นแต่เราเริ่มจะมีความกังวลมากขึ้นเพราะตัวเลข ยอดผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกสักพังเชื่อว่าจะมีผลกระทบกับการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจแน่นอน เมื่อวานเรื่ยกได้ว่าทั้งนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศลุยซื้อหุ้น กันอย่างหนักแทบจะไม่มีอ่อนตัวลงเลยทั้งวัน ส่วนนักลงทุนทั่วไปมองเหมือนๆ กันว่าขายแถวๆ แนวต้านซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม เดิมเรามองว่ารอบนี้จบรอบไปแล้วแต่ SET กลับขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่แบบนี้แสดงว่าเม็ดเงินน่ามีมากจริงๆ จากจุดนี้ซึ่งสูงกว่า 550 จุด และอยู่ในภาวะที่ overbought มากๆ ถ้าจะเล่นเก็งกำไรก็ต้องให้ความระมัดระวังมากๆ แนวต้าน 562 จุด แนวรับ 540 จุด

CPF ราคาหุ้นของ CPF ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง เป็นไปตามผลประกอบการของ CPF ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาสินค้า กำไรปกติก็เพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก CPALL ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเรายังคาดว่ากำไรของ CPF จะยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก เนื่องจากโดยกำไรปกติของ CPF ใน 1Q52 มีสัดส่วน 23% ของประมาณการทั้งปี ดังนั้นจึงเชื่อว่ากำไรของ CPF จะเติบโตต่อเนื่องใน 2Q52 และ 3Q52 และเราจะทำการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายเพื่อสะท้อนผลกำไรที่ สูงกว่าคาดใน 1Q52 รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจาก CPI ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" CPF ที่ราคาเป้าหมาย 4.4 บาท

KTC สัญญาณทางเทคนิคมีสัญญาณการปรับตัวขึ้นรอบใหม่ หลังจากเมื่อช่วงต้นเดือนปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรง ก่อนจะมาพักตัว 9 บาทกว่าๆ มาได้ 4 วันทำการแล้ว เมื่อวานนี้มีการทำจุดสูงสุดใหม่ แล้ว Low ก็ยกสูงขึ้น แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" KTC ให้ราคาเป้าหมายแรกที่ 11 บาท

Thunhoon

โรคระบาดกระทบเศรษฐกิจหนัก


การ แพร่ระบาดของไข้หวัดหมูขณะนี้ลุกลามออกไปอีกหลายประเทศทั่วโลก เม็กซิโกประกาศว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 143 คนโรคระบาดดังกล่าวน่ากลัวกว่าไข้หวัดนก

เพราะ เป็นการระบาดจากคนสู่คน ไม่ใช่การระบาดจากสัตว์สู่คน ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ การเกิดเหตุการณ์โรคระบาดนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก นักวิเคราะห์หลายสำนักจึงประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนใน ตลาดหุ้นทั่วโลก

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ กังวลว่าจะมีผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจ หากยังไม่สามารถควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว เพราะในกรณีของซาร์ส เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2545 พบว่าทำให้ธุรกิจสายการบินเอเชียปรับตัวลดลง 32% ของไทยลดลง 0.52% ในขณะที่ในเดือนที่เกิดเหตุ จำนวนผู้โดยสายเข้าประเทศไทยลดลง 4% ตลาดหุ้นไทยตก 4% ตลาดหุ้นจีนตก 9% และลดลงอีก 3% ในเดือนต่อมา

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนต้องเลือกหุ้นกลุ่มที่ยังปลอดภัยจากเรื่องนี้ คือ อุตสาหกรรมโทรทัศน์ โรงพยาบาล โทรศัพท์มือถือ และค้าปลีกที่ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า ขณะเดียวกันต้องหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มสายการบิน ท่าอากาศยาน สถานที่สาธารณะ เช่น โรงภาพยนตร์ โรงแรมภัตตาคาร (ยกเว้นการส่งถึงที่) ห้างสรรพสินค้าที่เปิดรับนักท่องเที่ยว แนะนำซื้อหุ้นที่มีลักษณะ Defensive มากกว่าหุ้น Cyclical

“หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์จะได้รับผลลบจากโรคระบาดด้วย และราคาปรับตัวขึ้นมาเกินพื้นฐานการทำกำไรในปีนี้แล้ว หุ้นที่เลือกสำหรับการลงทุนในช่วง 1 เดือน ได้แก่ บริษัท ปตท. (PTT), บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR), บริษัท ช.การช่าง (CK), บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัค ชั่น (STEC) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)

สำหรับหุ้นบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) คาดว่าอาจกระทบ Sentiment ช่วงสั้น แต่ตามปัจจัยพื้นฐานอาจส่งผลบวกมากกว่า เพราะมีสัดส่วนการขายหมูในประเทศคิดเป็น 12% ของยอดขายรวม น้อยกว่าการขายไก่และกุ้งในประเทศที่คิดเป็นประมาณ 20% ซึ่งหากยอดขายหมูลดลง บริษัทน่าจะขายไก่และกุ้งเพิ่มขึ้นมาทดแทน และมีโอกาสที่ CPF จะส่งออกไก่และกุ้งได้เพิ่มขึ้น จากคำสั่งซื้อที่ย้ายจากทวีปที่มีปัญหามาที่ไทยแทน ซึ่ง CPF มีรายได้จากการส่งออกประมาณ 16% ดังนั้นโดยรวมแล้ว CPF ในส่วนธุรกิจในประเทศเป็น Neutral แต่อาจได้รับประโยชน์ในส่วนธุรกิจส่งออก

ด้านนักวิเคราะห์บล.พัฒนสิน (CNS) ตลาดกำลังจับตาผลกระทบจากการระบาดของโรคไข้หวัดหมู จึงคาดการณ์ผลกระทบที่แท้จริงต่อเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์พลังงานโลก ยังคงเป็นเรื่องยากในปัจจุบัน เนื่องจากไม่รู้ขอบเขตของการระบาด

นัก วิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า โรคระบาดครั้งใหม่บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก กระทบโดยตรงต่ออุตสาห กรรมเลี้ยงสุกรและอาหารที่แปรรูปจากเนื้อสุกร รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสายการบินและธุรกิจโรงแรม ในที่สุดจะบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สะท้อนจากที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในหมวด อาหารตกต่ำตามภาวะอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เช่น ราคาถั่วเหลือง รวมถึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อ่อนตัวลงตามกำลังซื้อที่ลดลง แต่เชื่อว่ายังสามารถรักษาระดับการแกว่งตัวเหนือ 45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ได้ต่อเนื่อง

“ดัชนีดาวโจนส์ในสัปดาห์นี้จะยังมีทิศทางแกว่งตัวด้านข้างในกรอบ 7,800-8,200 จุด และจะกดดันให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียอ่อนตัวลง เพื่อการปรับฐานในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสอ่อนตัวลงสู่แนวรับ 450 จุด”

บล.ธนชาต ระบุว่า หุ้นไทยที่ปรับตัวลงตามแรงกดดันจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไข้หวัดหมู ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อกลุ่มค้าปลีกและโรงพยาบาล แต่ถ้าปัญหานี้ยืดเยื้อออกไป จะกระทบการบริโภคโดยรวม และส่งผลลบต่อแทบทุกกลุ่ม

กลุ่มที่จะถูกกระทบ : CPF, บริษัท การบินไทย (THAI), โรงแรม & ท่องเที่ยว, อาหารสัตว์ (TVO - บริษัท น้ำมันพืชไทย)

กลุ่มที่น่าจะบวกในระยะสั้น : TUF (บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์), สื่อสาร (ADVANC, DTAC) และในเชิงจิตวิทยา อาจทำให้เกิดการกักตุนอาหารแห้ง และดีต่อกลุ่มค้าปลีก (CPALL, MAKRO, BIGC) และโรงพยาบาล (BGH, KH, BH)

ผู้จัดการกองทุน PNC Wealth Manage ment กล่าวว่า การระบาดของไข้หวัดหมูทำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดเกิดใหม่เน้นกลุ่ม เทคโนโลยี เวชภัณฑ์ สินค้าอุปโภคบริโภค

“เรายังคงแนะนำ ‘ซื้อ’ CPF โดยมีราคาเป้าหมายที่ 5.2 บาทต่อหุ้น แต่หุ้น Top Pick ในกลุ่มธุรกิจการเกษตรของเรา คือ TUF เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าลงของเงินบาท และธุรกิจที่มีลักษณะ Defensive ราคาหุ้นในปัจจุบันให้ Upside จากราคาเป้าหมายที่ 25 บาทต่อหุ้น ราว 20%”



Post Today

เตือนมุ่งปริมาณโครงการถลุงเงิน


นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตโลก มากกว่าประเทศอื่นๆ เกือบทุกๆ ครั้ง คือการไม่มีแผนหรือนโยบายระยะยาวรองรับปัญหา ที่สำคัญกว่า มีแต่นโยบายที่เน้นปริมาณ

นายสมภพ ยกตัวอย่างการจัดการชลประทาน ต้องใช้เงินกว่า 2-3 แสนล้านบาท การศึกษาฟรี 15 ปี ก็ใช้เงินมหาศาล หรือโครงการถนนปลอดฝุ่น ซึ่งเป็นการใช้เงินแบบไร้การวางแผนระยะยาว

นอกจากนั้น ในช่วงที่ส่งออกไม่ได้ยอดการจ้างงานลด คนขาดเงิน การบริโภคในประเทศลด ก็แก้ง่ายๆ ด้วยการแจกเงิน ซึ่งไม่รู้ได้ผลหรือไม่ ที่สำคัญกว่านั้นมีนโยบายที่เป็นจริงยากและยังไม่มีวิธีการบริหารจัดการให้ ไปสู่เป้าหมายอีกด้วย

สิ่งเหล่านี้คือภาวะที่ต้องแก้ไข เพื่อให้ไทยฟื้นตัวจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก

“เกาะไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีน อินเดีย ญี่ปุ่น ที่จะโตขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ เพราะต่อไปสหรัฐคงไม่เป็นมหาอำนาจประเทศเดียวแล้ว”นายสมภพ กล่าว



Post Today

การใหญ่ บันเทิง ตันติวิท..ปล้ำแม่เสือ ยึดถ้ำเสือติดปีกพยัคฆ์

บันเทิง ตันติวิท

ฝันไกล..ที่ใกล้จะเป็นความจริงของ 'กลุ่มธนชาต' บันเทิง ตันติวิท คิดการ 'เผด็จศึก' นครหลวงไทย เบียด 'แบงก์กรุงศรีฯ' ขึ้นอันดับ 5 ธนาคารไทย

ไม่เข้าถ้ำเสือ..ใยจะได้แม่เสือและถ้ำเสือ การเดินหมากของ บันเทิง ตันติวิท ประธานกรรมการ บมจ.ทุนธนชาต และประธานกรรมการ ธนาคารธนชาต ไม่ต่างไปจากแผน "ติดปีกพยัคฆ์" สั่นสะเทือนไปทั้งวงการ

เป้าหมายอยู่ที่การเติบโตทางลัด ธนาคารธนชาต ที่มีขนาดสินทรัพย์ 352,063 ล้านบาท หากผนึกรวมสำเร็จกับธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารพาณิชย์อันดับที่ 7 ด้วยขนาดสินทรัพย์ 415,158 ล้านบาท จะเบียดแซงธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่มีสินทรัพย์รวม 729,706 ล้านบาท ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับที่ 5 แทนทันที

การเปิดทางให้โนวาสโกเทียแบงก์จากแคนาดาเข้ามาถือหุ้นธนาคารธนชาต 49% และบมจ.ทุนธนชาต ยอมลดสัดส่วนหุ้นเหลือเพียง 50.9% ทำให้บันเทิงกล้าคิดการก้าวกระโดด

หากเดินในเส้นทางปกติโอกาสที่ธนชาตจะแทรกขึ้นมาอยู่ใน "ท็อป 5" แทบมองไม่เห็น แม้การเดินหมากพิชิตขุนครั้งนี้จะสุ่มเสี่ยงต้องแบกน้ำหนักเทคโอเวอร์รุ่น พี่ที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่กว่ามีเอ็นพีแอลเยอะกว่าทั้งไม่ใช่ธนาคารที่มีจุด เด่นในด้านใด ผิดกับธนชาตที่โดดเด่นด้านธุรกิจเช่าซื้อ แต่ดีดลูกคิดแล้วระยะยาว "ยิ่งกว่าคุ้ม"

เมื่อดูโครงสร้างผู้ถือหุ้นธนาคารนครหลวงไทย ณ 4 เมษายน 2552 บันเทิงรุกเข้าไปอย่างดุดัน โดยส่ง บมจ.ทุนธนชาต เข้าถือหุ้น SCIB แล้ว 104.96 ล้านหุ้น สัดส่วน 4.97% บริษัท เอ็ม บี เค โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด บริษัทในกลุ่มถือ 80.65 ล้านหุ้น สัดส่วน 3.82% บริษัท ไพมาซี อีลิแกนซ์ อินเวสเม้นท์ จำกัด ถือ 13.42 ล้านหุ้น สัดส่วน 0.64% และพันธมิตร Bank of Nova Scotia (โนวาสโกเทีย) ถือ 102.78 ล้านหุ้น สัดส่วน 4.86%

เท่ากับว่าล่าสุดกลุ่มธนชาตและโนวาสโกเทีย ถือหุ้น SCIB รวมกันแล้ว 302 ล้านหุ้น สัดส่วน 14.29% ใหญ่เป็น "อันดับที่สอง" รองจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ที่ถือจำนวน 1,005 ล้านหุ้น เงื่อนไขจึงอยู่ที่หุ้นสัดส่วน 47.58% ในพอร์ตกองทุนฟื้นฟูฯ จะ "เซย์โน" หรือ "โอเค" กับเกม "กบกระโดด" ของบันเทิง

หากวิเคราะห์ต้นทุนการซุ่มเก็บหุ้น SCIB ของบันเทิง เขาเลือกจังหวะที่ราคาหุ้นปรับลดลงเพื่อลดต้นทุน นี่คือความเชี่ยวในเกม..ในรายงานของสำนักงานก.ล.ต.ระบุว่า ต้นทุนสูงสุดของกลุ่มธนชาตอยู่ที่ 14.40 บาท และการเร่งเก็บหุ้นในช่วงระดับราคาต่ำกว่า 10 บาทเพิ่มอีกเกือบ 2 เท่าตัว ย่อมทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของกลุ่มธนชาตและโนวาสโกเทียล่าสุดอาจจะต่ำกว่า 10 บาทแล้ว

ความเคลื่อนไหวของหุ้น SCIB นับต่อจากนี้ อาจจะเรียกได้ว่าอยู่ภายใต้การเดินเกมของบันเทิงเกือบจะสิ้นเชิงแล้ว และหากวิเคราะห์ตามหลักความเป็นจริงถ้าบันเทิงต้องการ SCIB มาครอบครองเขาคงไม่ชอบแน่ถ้าราคาหุ้นจะขึ้นสูงมากจนสูญเสียอำนาจการต่อรอง ...ตราบใดที่เกมยังไม่จบในเร็ววันยังมีเวลาให้ลาก(ต่อรอง)กันอีกนาน รายย่อยที่เข้าไปไล่หุ้น SCIB "อย่าย่ามใจ"

"ตอนนี้กลุ่มธนชาตกับสโกเทียแบงก์ถือหุ้น SCIB รวมเกือบ 15% แล้ว เราก็เหมือนแหย่เท้าตัวเองเข้าไปตั้งเยอะแล้วนะ!!" บันเทิง ตันติวิท นายใหญ่กลุ่มธนชาต กล่าวกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พร้อมทั้งบอกด้วยว่า ถ้ากองทุนฟื้นฟูฯเปิดทางให้เข้าเจรจาซื้อหุ้นธนาคารนครหลวงไทย กลุ่มธนชาตก็พร้อมจะเข้าควบรวมกิจการแน่นอน

ที่ผ่านมา บันเทิง วางแผนการเติบโตของธนาคารธนชาต ไว้ 3 รูปแบบ ทั้งการเติบโตด้วยตัวเอง (Organic Growth) การมีพันธมิตร (โนวาสโกเทีย) และการเติบโตด้วยการควบรวมกิจการ (โตทางลัด) ขณะที่นครหลวงไทยเป็นธนาคารที่มีสาขากว่า 400 แห่งทั่วประเทศ และมีพอร์ตสินเชื่อในกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ รวมถึงลูกค้าเอสเอ็มอี ซึ่งที่ผ่านมาสามารถทำกำไร และมีการจ่ายปันผล รวมถึงมีมูลค่าหุ้นทางบัญชีสูงถึง 19.47 บาทต่อหุ้น

ในด้านของธนาคารธนชาต มีพอร์ตสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อรายย่อย ซึ่งหากนำมารวมกันก็จะทำให้มีสินทรัพย์เพิ่มเป็นอันดับ 5 และมีสาขารวมกัน 600-700 สาขา

บันเทิง บอกว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลุ่มธนชาตต้องการจะ “โตทางลัด” ก่อนหน้านี้เคยเจรจาควบรวมกิจการกับธนาคารไทยธนาคาร (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย) ก่อนที่ Newbridge จะเข้ามาเสียอีก พอพลาดเราก็มองหาช่องทางอื่นมาตลอด ที่จริงแบงก์จะเล็กหรือใหญ่ก็อยู่รอดได้ทั้งนั้น แต่ขนาดก็สำคัญเพราะทำให้ต้นทุนต่างๆ ลดลงไปได้เยอะ

ทำไม! ต้องเป็นนครหลวงไทย เขา ให้เหตุผลว่า ราคาหุ้น SCIB ตกลงมามากเมื่อปีที่แล้ว และมองว่าในปี 2552 ผลประกอบการเริ่มดีขึ้น แต่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอยู่จึงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนมากขึ้นเป็น เพียงการลงทุนตามปกติ แต่ไม่ปฏิเสธว่าการเข้าไปถือหุ้นไว้นอกเหนือจากหวังผลตอบแทนจากการลงทุนปกติ แล้ว ยังมองไปถึงโอกาสการควบรวมกิจการด้วย แต่ถ้ากองทุนฟื้นฟูฯขายหุ้นให้คนอื่น กลุ่มธนชาตก็พร้อมจะถอนหุ้นออกมา

หากมองในเชิงกลยุทธ์เท่ากับว่าเกมนี้กลุ่มธนชาตมีแต่ "ได้กับได้" ไม่มีคำว่า..ขาดทุน ไม่ว่าการควบรวมครั้งนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลว...

เงินทุนจะมาจากไหน บันเทิง บอกว่า เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาโนวาสโกเทียและทุนธนชาตจะ “เพิ่มทุน” ให้กับธนาคารธนชาตเพื่อทำคำเสนอซื้อหุ้นธนาคารนครหลวงไทย ที่ผ่านมาทุนธนชาตได้เก็บเงินสดจำนวน 7,000 ล้านบาท จากการขายหุ้นธนาคารธนชาตให้กับสโกเทียแบงก์เพื่อรอคอยเวลา รวมถึงเตรียมเพิ่มทุนอีก 2,000 ล้านบาทในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารธนชาตในปีนี้

"เรื่องเงินเรามีแน่นอน รับรองว่าไม่เป็นเตี้ยอุ้มค่อม อย่าลืมซิว่าเรามีพาร์ทเนอร์(โนวาสโกเทีย)ที่แข็งแกร่งนะ เราวางแผนที่จะเพิ่มทุนทุกปีเพื่อคงเงินกองทุนให้เกิน 12%"

การจะซื้อหุ้นนครหลวงไทย คงต้องรอให้กองทุนฟื้นฟูฯ ประกาศความชัดเจนในการขายหุ้นออกมาก่อน ขณะที่มองว่าการที่ต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้น SCIB ขณะนี้คงทำได้ยากเพราะติดปัญหาเรื่องเพดานการถือหุ้นของต่างชาติ บันเทิงดีดลูกคิดแล้วรวมทั้งดักเก็บหุ้นปิดทางคู่แข่งไว้แล้ว ธนาคารนครหลวงไทยก็เหมือน "หมูในอวย" แต่จะเป็นเมื่อไร..อาจจะไม่เร็ว

สำหรับกลยุทธ์ในปีนี้ ธนชาตจะหันมามุ่งเน้นปล่อยสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ จากเงินกองทุนที่มีอยู่ในตอนนี้สามารถปล่อยเงินกู้ต่อรายในหลัก “พันล้านบาท” ได้สบายแล้ว บันเทิง มองว่า ตลาดนี้ใหญ่พอที่ธนชาตจะเข้าไปแบ่งมาร์เกตแชร์จากธนาคารขนาดใหญ่แต่จะไม่ไป แข่งขันตัดราคาจนไม่มีกำไรคงไม่ทำ

จากนี้ในปีนี้จะเริ่มรุกปล่อยสินเชื่อบุคคลรวมถึงบัตรเครดิตที่จะเปิด ตัวในเร็วๆนี้ โดยเริ่มขยับเข้าไปในกลุ่มลูกค้าเช่าซื้อของธนาคารก่อน รวมถึงมองหาธุรกิจใหม่รองรับสินเชื่อเช่าซื้อที่ปีนี้คาดว่าจะโตน้อยกว่าปี ที่ผ่านมา เช่น ธุรกิจบริหารหนี้เสียและสินเชื่อที่ไม่ทับซ้อนกับธนาคาร

“สินเชื่อเช่าซื้อคงไม่โตพรวดพราดอีกแล้วเพราะฐานเราใหญ่มาก ถึงอย่างไรเราสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่เดือนละ 1,000 ล้านบาทตามปกติได้สบาย มาร์เก็ตแชร์ในตลาดจะยังเป็นเบอร์หนึ่งที่ 24% เหมือนเดิม”

ส่วนแนวโน้มกำไรสุทธิของบมจ.ทุนธนชาต ที่ “ลดลง” ถึง "5 ไตรมาส" ติดต่อกันตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2551 บันเทิง ยอมรับว่า ช่วงที่ผ่านมาธนาคารต้องลงทุนจำนวนมากเพื่อสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด ประกอบกับเศรษฐกิจไม่ค่อยดี จนต้องตั้งสำรองเพิ่มในปีที่แล้ว 1,529 ล้านบาท ถึงอย่างไรก็เชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ธนชา ตเริ่มเติบโตเต็มตัวพอดี และจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม

“หุ้น TCAP ควรจะมี ROE ประมาณ 10% ก็น่าจะโอเคแล้ว ส่วนเป้าที่เราตั้งไว้ว่าจะมีสินทรัพย์ 5 แสนล้านบาท (กรณีเติบโตด้วยตัวเอง) ถ้าเศรษฐกิจไม่เลวร้ายกว่านี้ก็น่าจะเป็นไปได้”

สำหรับเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปี 2552 นี้ อนุวัติร์ เหลืองทวีกุล รองประธานกรรมการบริหาร บมจ.ทุนธนชาต เปิดเผยว่า ปีนี้ ธนาคารธนชาตจะเปิดสาขาใหม่อีก 42 แห่ง รวมเป็น 255 สาขาเมื่อถึงสิ้นปี ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Spread) น่าจะอยู่ระดับเกิน 3% ขึ้นไป (ตอนนี้อยู่ที่ 3.15%) เอ็นพีแอลไม่เกิน 3% ส่วนสินเชื่อรวมน่าจะเติบโตแค่ “เลขตัวเดียว”...

สรุปว่าปีนี้ ผลการดำเนินงานยังไม่มีอะไรที่โดดเด่น


บันเทิง ตันติวิท

หุ้นไทยปิดบวก 8.17 จุด นักลงทุนแห่เก็งกำไรกลุ่มพลังงาน

หุ้นไทยปิดบวก8.17จุด กลุ่มพลังงานหนุน



บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย ในวันนี้ (13 พ.ค.) เปิดตลาดในภาคเช้าดัชนีแกว่งตัวในแดนลบเล็กน้อย จากแรงขายทำกำไรระยะสั้น ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 542.87 จุด ก่อนที่จะมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ 554.36 จุด ก่อนปิดตลาดที่ 552.71 จุด บวก 8.17 จุด หรือ 1.50%

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย PTTAR อยู่ที่ 19.40 บาท บวก 0.40 บาท PTTEP อยู่ที่ 124.50 บาท บวก 5.00 บาท PTT อยู่ที่ 222.00 บาท บวก 2.00 บาท IRPC อยู่ที่ 3.86 บาท บวก 0.56 บาท และ TOP อยู่ที่ 42.25 บาท บวก 4.25 บาท

3 เดือนแรกศก.ต่ำสุดรอบ 10 ปี ไตรมาส 2 ฟื้น...

3 เดือนแรกศก.ต่ำสุดรอบ 10 ปี ไตรมาส 2 ฟื้น...

แม้ว่าในไตรมาส 4/2551 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวติดลบอย่างรุนแรง

เนื่องจากผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองจนนำไปสู่การปิดท่า อากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและดอนเมืองนั้น ได้สร้างความสูญเสียแก่ภาคการท่องเที่ยว การลงทุน และการส่งออก

แต่จากการวิเคราะห์เครื่องชี้เศรษฐกิจล่าสุดที่มีการรายงานออกมา ได้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2552 ยังคงทรุดตัวลงมากขึ้น

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป แม้ว่ามีสัญญาณของการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก แต่แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ยังคงมีความ ไม่แน่นอน ประกอบกับมีปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ Influenza A (H1N1) ขณะที่เศรษฐกิจไทยเองก็ยังคงเผชิญปัจจัยลบจากภายในประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งอาจกดดันให้เศรษฐกิจในไตรมาส 2/2552 ยังคงหดตัวในระดับสูง

วิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมส่งออก การจ้างงาน และรายได้ครัวเรือน เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2552 ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยของโลกครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่หลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ส่งผลให้การส่งออกของไทยหดตัวลงถึง 19.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลงถึง 18.9% และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจำเป็นต้องปรับลดกำลังการผลิต ลดเวลาทำงาน รวมถึงลดจำนวนพนักงานลง

ส่งผลให้จำนวนผู้ว่างงานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 56.2% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2552 โดยมีจำนวนเฉลี่ยประมาณ 301,000 คน จากจำนวน 192,800 คนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้ว่างงานโดยรวมของประเทศเพิ่มขึ้นมามีจำนวนเฉลี่ยประมาณ 796,800 คน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 2.1% สูงขึ้นจาก 1.6% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

มีการโยกย้ายแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคการเกษตรและภาคบริการ แต่แรงงานกลุ่มที่โยกย้ายสาขาอาชีพส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมีรายได้ลดลงจาก เดิม อีกทั้งตัวเลขการทำงานต่ำระดับก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มรายได้เฉลี่ยของภาคครัวเรือน ที่ปรับตัวลดลง ปัญหาการว่างงานและรายได้ที่ลดลงนี้คาดว่าจะส่งผลให้การบริโภคของภาคเอกชนใน ไตรมาส 1/2552 หดตัวประมาณ 2.7% จากที่ขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 4/2551 ซึ่งนับเป็นอัตราติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

การลงทุนของภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวสูง ภาวะการผลิตที่หดตัวลงอย่างมาก ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซาส่งผลให้ธุรกิจต่างชะลอโครงการลงทุนขยาย อุปกรณ์เครื่องจักรใหม่ ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ประสบปัญหากำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอลงและ สถาบันการเงินเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ สำหรับการลงทุนของภาครัฐก็ยังไม่มีโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เกิดขึ้นมากนัก รัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีการชะลอโครงการลงทุนที่ยังไม่เร่งด่วนออกไป

ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่าการลงทุนโดยรวมในไตรมาส 1/2552 อาจจะหดตัวสูงถึง 14.1% สูงขึ้นจากที่หดตัว 3.3% ในไตรมาส 4/2551 ซึ่งจะเป็นอัตราติดลบที่หนักที่สุดในรอบ 10 ปีเช่นเดียวกัน

ปัจจัยหลักที่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในไตรมาสแรกนี้ คาดว่ามาจากการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยในไตรมาส 1/2552 มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 28.8% จากที่เพิ่มขึ้น 3.9% ในไตรมาส 4/2552 ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งเบิกจ่ายวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณราย จ่ายเพิ่มเติมเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ (งบกลางปี) โดยเฉพาะในช่วงสิ้นเดือน มี.ค. ได้มีการเบิกโอนวงเงินส่วนหนึ่งของมาตรการแจกเช็คช่วยชาติที่เริ่มแจกในวัน แรกคือวันที่ 26 มี.ค. และประชาชนบางส่วนได้นำเช็คไปขึ้นเงินทันที

อย่างไรก็ดี วงเงินส่วนใหญ่ของมาตรการดังกล่าวน่าจะมีการเบิกโอนเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2552 ขณะที่การนำเงินจากเช็คที่ได้รับไปใช้จ่ายของประชาชนในส่วนของผู้ประกันตน บุคลากรภาครัฐ และผู้รับบำนาญนั้น น่าจะทยอยหมุนเวียนสู่ระบบในลักษณะกระจายตัวในช่วงไตรมาส 2-3 โดยประชาชนส่วนหนึ่งแม้นำเช็คไปขึ้นเงินแล้วแต่ก็ไม่ได้ใช้จ่ายทันที โดยอาจจะเก็บออมไว้ก่อน ขณะที่ประชาชนบางส่วนที่นำเช็คไปใช้ในโครงการเพิ่มมูลค่าตามที่ธุรกิจค้า ปลีกและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจัดแคมเปญขึ้นนั้น ส่วนใหญ่เป็นการแลกเป็นบัตรของขวัญซึ่งมีระยะเวลาใช้ได้หลายเดือน

ผลของมาตรการเช็คช่วยชาตินี้จึงอาจไม่ได้นำไปสู่การใช้จ่ายและการผลิตในรอบใหม่อย่างทันทีทั้งจำนวน

สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดที่พลิกกลับมามีฐานะเกินดุลในระดับสูงถึง 9,100 ล้านเหรียญสหรัฐ จากผลของการนำเข้าที่ลดลงอย่างรุนแรงนั้น คาดว่าจะไม่ได้ส่งผลบวกมากนักต่ออัตราการขยายตัวของจีดีพี เนื่องจากจีดีพีคำนวณโดยใช้บัญชีในด้านการผลิตเป็นหลัก ภาวะการผลิตในระบบเศรษฐกิจและการนำเข้าที่หดตัวลงอย่างมากนั้น จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าธุรกิจต่างใช้สต๊อกสินค้าเดิมที่เหลืออยู่ ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนเปลี่ยนสินค้าคงเหลือ ปรับตัวลดลงอย่างมาก

หากพิจารณาองค์ประกอบของเศรษฐกิจในด้านการผลิตแล้ว จะเห็นได้ว่าการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และการขนส่งมีแนวโน้มหดตัวสูงขึ้น ขณะที่การก่อสร้าง และโรงแรมและภัตตาคารยังหดตัวในระดับสูง ส่วนภาคเกษตรก็มีทิศทางที่ชะลอตัวลง จากปัจจัยทั้งหมด คาดว่าตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 1/2552 ที่ปรับฤดูกาลอาจจะลดลงประมาณ 1.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นอัตราการติดลบที่ชะลอลงจากไตรมาส 4/2552 ที่จีดีพีลดลงถึง 6.1% จากไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าจีดีพีในไตรมาส 1/2552 อาจหดตัว 6.5% ซึ่งเป็นอัตราติดลบที่สูงขึ้นกว่าในไตรมาส 4/2551 ที่หดตัว 4.3% และเป็นการหดตัวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2/2552 แม้ว่ามีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และการถดถอยในระดับที่ชะลอลงของเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจ ชั้นนำอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการฟื้นตัวในระยะข้างหน้ายังคงมีความไม่แน่นอน และยังคงต้องใช้ระยะเวลาอีกยาวนานนับปี กว่าที่เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วจะกลับมาขยายตัวได้ในระดับเต็มศักยภาพอีก ครั้ง ปัญหาการว่างงานที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น จะยังคงเป็นปัจจัยถ่วงการฟื้นตัวของการ ใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของเศรษฐกิจในประเทศกลุ่มนี้ นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ Influenza A (H1N1) ที่ตามข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (WHO: World Health Organization) บอกว่าได้ขยายการระบาดไปสู่ 29 ประเทศทั่วโลก มีการยืนยันจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 4,379 ราย ณ วันที่ 10 พ.ค. 2552 นับเป็นการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์ อาจเป็นปัจจัยที่ อาจคุกคามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยสถานการณ์แพร่ระบาดจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยว และการดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจในที่สาธารณะด้วย

อย่างไรก็ดี จากสัญญาณบวกของเศรษฐกิจโลกที่ปรากฏก็ได้เริ่มมีผลต่ออุตสาหกรรมส่งออกของ ไทยบ้างแล้ว โดยอุตสาหกรรมบางกลุ่มเริ่มมีคำสั่งซื้อไหลกลับเข้ามา เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ผลของการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่งผลให้หลายประเทศหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสุกร และหันมาสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ไก่และอาหารทะเลจากไทยเพิ่มขึ้น แต่คำสั่งซื้อที่เข้ามาส่วนใหญ่น่าจะมีการส่งมอบในช่วงไตรมาส 3-4/2552

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในไตรมาส 2/2552 จะมีปัจจัยบวกจากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ไหลเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจ และสัญญาณที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลที่จะเกิดขึ้นต่อการส่งออกอาจเริ่มเห็นชัดเจนก็ต่อเมื่อเข้าสู่ช่วง ครึ่งหลังของปี ขณะเดียวกันปัญหาการว่างงานอาจจะมีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้นกว่าในไตรมาสแรก เนื่องจากจะมีผู้จบการศึกษาใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานอีกจำนวนมาก ธุรกิจที่พึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศจะเริ่มซึมซับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจที่ ถดถอยที่รุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ก่อนหน้านี้

กล่าวโดยรวมแล้ว ในกรณีพื้นฐานเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2552 มีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้นกว่าในไตรมาสแรกเล็กน้อย แต่ปัจจัยเสี่ยงในหลายด้านดังที่กล่าวมาข้างต้นอาจจะยังคงเป็นปัจจัยที่กด ดันการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ อัตราการเติบโตของจีดีพีของไตรมาส 2/2552 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอยู่ในช่วงลดลง 0.2% ถึงขยายตัว 1.4% ซึ่งเป็นทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้นหรือ ค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า

แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2552 อาจยังคงหดตัวในอัตราที่ค่อนข้างสูง อยู่ในกรอบประมาณ 5.6-7.0%

กรอบบนของประมาณการ ที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นกว่าในไตรมาสแรกนั้น อยู่ ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและสัญญาณของเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัว ดีขึ้นอาจช่วยสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น และนำเงินที่ได้รับจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาใช้จ่ายแทนที่จะเก็บออม ไว้ก่อน

กรอบล่างของประมาณการ ที่เศรษฐกิจอาจจะหดตัวสูงขึ้นกว่าในไตรมาสแรกนั้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ คาดว่าการส่งออกและการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในไตรมาส 2/2552 ยังหดตัวในอัตราที่สูง ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลของฐานเปรียบเทียบที่การส่งออกในช่วงเดียวกันของปี ก่อนขยายตัวสูงอย่างมากด้วย ส่วนในด้านการนำเข้าอาจหดตัวในอัตราที่ชะลอลง จากที่คาดว่าภาคธุรกิจน่าจะมีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตมาก ขึ้นกว่าในไตรมาสแรก เนื่องจากระดับสินค้าคงคลังที่ลดลง รวมทั้งราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผลดังกล่าวจะทำให้การเกินดุลการค้าลดลง และเมื่อรวมกับผลกระทบต่อดุลบริการจากรายได้การท่องเที่ยวที่หายไปหลัง เหตุการณ์จลาจลเมื่อเดือนเม.ย. จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มลดลง ค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันเศรษฐกิจภายในประเทศมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าในไตรมาสแรก ทั้งจากผลกระทบของความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงมีอยู่ ผลกระทบต่อธุรกิจภายในประเทศจากสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวสูงกว่าที่คาด ผลกระทบของปัญหาการว่างงาน และสถานะการคลังของรัฐบาลมีข้อจำกัดมากขึ้น ซึ่งความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัญหาการว่างงาน อาจจะกดดันให้การบริโภคของภาคเอกชนยังหดตัวสูงขึ้นกว่าในไตรมาสแรก

จากการวิเคราะห์เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยที่มีการรายงานออกมาในช่วง ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 1/2552 ที่ปรับฤดูกาลแล้ว อาจยังคงลดลงประมาณ 1.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเป็นอัตราการติดลบที่ชะลอลงจาก 6.1% ในไตรมาส 4/2552 ซึ่งเป็นช่วงที่มีผลกระทบจากเหตุการณ์ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่า จีดีพีในไตรมาส 1/2552 อาจหดตัว 6.5% ซึ่งเป็นอัตราติดลบที่สูงขึ้นกว่าในไตรมาส 4/2551 ที่จีดีพีหดตัว 4.3% และเป็นการหดตัวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2/2552 คาดการณ์อัตราการเติบโตของจีดีพีของไตรมาส 2/2552 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอยู่ในช่วงลดลง 0.2% ถึงขยายตัว 1.4% ซึ่งเป็นทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น หรือค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2552 อาจยังคงหดตัวในอัตราที่ค่อนข้างสูง อยู่ในกรอบประมาณ 5.6-7.0%

อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2552 อาจยังไม่ฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนนัก แต่คาดว่าแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราการขยายตัวของจีดีพีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าน่าจะมีทิศทางที่ เป็นบวกได้ในไตรมาส 3/2552 แม้ว่าตัวเลขจีดีพีที่เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอาจจะยังคงหดตัวก็ตาม แต่ยังคงต้องติดตามความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งทิศทางราคาน้ำมันซึ่งหากปรับตัวสูงขึ้นรวดเร็วเกินไปก็อาจส่งผลกดดัน ต่อภาวะเงินเฟ้อและอำนาจซื้อของประชาชน

สำหรับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและการเร่ง เบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลนั้น น่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น แต่ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การหมุนเวียนของการใช้จ่ายและ การผลิตในรอบต่อๆ ไปนั้น ยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยความเชื่อมั่นของภาคเอกชน

ขณะที่รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่อง เที่ยวชาวต่างชาติ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอยู่บนปัจจัยพื้นฐานของความสงบเรียบร้อยทางการเมืองและ เสถียรภาพของรัฐบาล เป็นสำคัญ

วางแผนการเงิน 3 แบบ 3 สไตล์

"การวางแผนการเงิน" เหมือนภูมิต้านทานชั้นดีในการรับมือกับสึนามิทางเศรษฐกิจ แต่บางคนเหมือนมีเข็มทิศให้กับชีวิตคอยนำทางไปสู่อิสรภาพทางการเงิน

อย่ารอให้คำว่า "ดวง" "โชคลาภ" หรือ "วาสนา" มาเป็นตัวกำหนดชีวิตคุณเลย เพราะถ้าหากคุณวางแผนการเงิน อนาคตที่ดีและฐานะการเงินอันมั่นคงรอคุณอยู่ข้างหน้าอย่างแน่นอน

แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเชี่ยวชาญเรื่อง วางแผนการเงิน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าจะวางแผนการเงินถึงแม้คุณจะไม่ช่ำชองเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมาช่วยเป็นที่ปรึกษา ให้ทุกคนวางแผนการเงินผ่านบริการที่เรียกว่า "K-We Plan" ที่แม้ว่าคุณจะไม่ใช่ลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย จะใช้บริการนี้ได้

Oนักบินวางแผนเพื่อการศึกษาให้ลูก

"อัชพล สุวรรณประสพ" นักบินที่สอง บริษัท การบินไทย เป็นคนหนึ่งที่ถูกปลูกฝังเรื่องวางแผนการออมมาตั้งแต่เด็ก เพราะความที่เป็นลูกทหาร ชีวิตจึงมีการวางแผนมาตลอด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักบินตั้งแต่เด็ก หลังเรียนจบชั้นมัธยมเขาจึงเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายเรืออากาศ และสมัครเป็นนักบินที่การบินไทยทันทีหลังจบการศึกษา ผ่านประสบการณ์การบินพาณิชย์มาแล้วเกือบ 10 ปี และเตรียมพร้อมที่จะก้าวสู่ตำแหน่งนักบินที่หนึ่ง หรือกัปตัน ในอนาคตอันใกล้นี้

"ผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กเลยว่าให้จด รายการค่าใช้จ่ายทุกวัน ก็ทำเป็นนิสัยมาจนทุกวันนี้ จะมีกระดาษเล็กๆ พกติดกระเป๋าสตางค์ จดค่าใช้จ่ายทุกอย่างในแต่ละวัน ทำให้รู้ตัวตลอดว่าในแต่ละเดือนใช้เงินไปแค่ไหน"

ทุกวันนี้ ด้วยวัย 36 ปีอัชพลบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัวอย่างที่ตัวเองพอใจ เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมีครอบครัว ไม่ค่อยได้วางแผนการเงินอย่างจริงจังมากนัก แค่ควบคุมรายจ่ายและออมเงิน แต่ปัจจุบันด้วยบทบาทของการเป็นคุณพ่อลูก 2 ทำให้ใส่ใจกับการวางแผนการเงินมากขึ้น

"ผมเป็นลูกค้าบัตรเครดิตกสิกร แพลตินั่ม อยู่แล้ว ทางธนาคารก็ได้เชิญชวนให้ไปใช้บริการ K-We Plan ซึ่งหลังจากได้คุยกับแพลนเนอร์ของ K-We Plan ก็รู้สึกชื่นชอบมาก เพราะมีการวางแผนการเงินที่ตรงกับความต้องการในใจอยู่แล้ว และเข้าใจง่าย ทั้งการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ และเพื่อการศึกษาของลูก เนื่องจากโดยส่วนตัว ผมเป็นคนที่คอนเซอร์เวย์ทีฟในเรื่องเงินการออมเงิน ก็จะเลือกการฝากเงินในธนาคารเป็นหลัก แต่พอได้ใช้บริการ K-We Plan ก็ทำให้เกิดความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งผมจะเลือกวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยเป็นหลัก"

อัชพล เล่าให้ฟังถึงการวางแผนเรื่องการศึกษาให้ลูกทั้ง 2 คนของเขาว่า คาดหวังให้ลูกๆ ได้เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะต้องเรียนจนจบในระดับไหน อันนั้นคงขึ้นอยู่กับตัวลูกเป็นหลัก แต่พร้อมที่จะสนับสนุน ส่งเสียอย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาเขาบอกว่ายังไม่เคยวางแผนและมีตัวเลขในใจ มีแต่บันทึกค่าใช้จ่ายรายปีของลูกๆ ซึ่งหลังจากปรึกษากับ K-We Plan ก็ทำให้รู้ว่าจะต้องเตรียมเงินไว้สำหรับส่วนนี้เท่าไร

"ผมชอบบริการ K-We Plan เหมือนเป็นส่วนเติมเต็มให้กับสิ่งที่ผมยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ทำให้ทุกอย่างชัดเจน เป็นรูปธรรมมากขึ้น มีโปรแกรมการคำนวณทางการเงินต่างๆ ที่ทำให้เราเห็นได้เลยว่า ใช้เงินเท่าไร จะเกิดผลงอกเงยขึ้นมาเท่าไร ผมรู้สึกประทับใจในตัวแพลนเนอร์มาก เพราะมีประสบการณ์สูง เป็นเหมือนคุณหมอ หรือนักจิตวิทยาเลย เพราะสามารถทำให้ผมซึ่งเป็นคนที่ระมัดระวังในเรื่องการเงินมาก่อน เกิดความเชื่อถือ เปิดใจได้มากขึ้น และสามารถเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

โดยส่วนตัวผมว่า K-We Plan เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เหมาะกับทุกๆ คน อยากให้ทุกคนเริ่มรู้จักวางแผนการเงินกันตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ ให้เห็นภาพสถานการณ์ต่างๆ ล่วงหน้า ก่อนที่จะต้องเจอกับตัวเอง เป็นการช่วยปลูกฝังคนให้มีวินัยทางการเงินมากขึ้น ซึ่งถ้าการเงินไม่มีมีปัญหา ชีวิตในด้านอื่นๆ ก็ย่อมดีขึ้น อันที่จริง ก่อนไปใช้บริการ ผมก็ได้ลองศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ K-We Plan ทางเว็บไซต์ก่อนแล้วพอสมควร และรู้สึกถูกใจ เป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการ เหมือนเป็นการทำงบดุลส่วนตัว อีกสิ่งที่ประทับใจมากคือ ผลการคำนวณที่ออกมา มีตัวเลขตัวหนึ่งที่ตรงกับที่ผมเคยลองทำบัญชีไว้เลย"

หลังจากเข้าโปรแกรมของ K-We Plan อัชพลบอกว่าส่วนใหญ่เขาเลือกวิธีการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำเป็นหลัก ส่วนการลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีอย่าง LTF และ RMF นั้น ก็มองเป็นผลประโยชน์ในระยะยาวไปเลย ซึ่งเงินที่ลงทุนเป็นเงินเย็นอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงศึกษาเพื่อหาคำตอบสำหรับการอยู่รอดจากภาวะเงินเฟ้อได้โดย ไม่เสี่ยง

อัชพล บอกว่า เมื่อได้วางแผนการเงินอย่างจริงจัง เป้าหมายชีวิตต่อจากนี้ คือการเฝ้าดูการเติบโตของลูกๆ เป็นหลัก และตั้งเป้าเกษียณอายุที่ 60 ตามเกณฑ์ปกติ เพราะทุกวันนี้ เขามีความสุขกับการทำงาน จึงต้องการทำงานไปเรื่อยๆ โดยรวมๆ ตอนนี้ในด้านการงานก็ค่อนข้างพอใจแล้ว ซึ่งเขาถือว่า เมื่อพอใจในชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตที่มีความสุข

เขาบอกว่าอยากให้คนตั้งแต่ในวัยยัง ไม่เริ่มทำงาน ให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงิน เพราะทุกวันนี้อัตราเงินเฟ้อก็น่ากลัวพออยู่แล้ว แต่บางคนยังมีพฤติกรรมการใช้เงินที่น่าเป็นห่วงมาก เช่นการใช้บัตรเครดิตจนเต็มวงเงิน บางคนนอกจากไม่วางแผนการเงินยังใช้ชีวิตอย่างประมาท

"หลักการที่ผมยึดติดตัวอยู่ตลอด เวลาคือ ไม่ประมาท ซึ่งก็อาจจะมาจากอาชีพการงานที่จำเป็นต้องมีความรอบคอบ ระมัดระวังอยู่เสมอ ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ การใช้จ่ายก็ต้องคิดให้รอบคอบ ดูความจำเป็นเป็นหลัก ว่าขาดไปแล้วชีวิตจะอยู่ได้ไหม แม้ผมจะเป็นคนที่มีวินัยในการการใช้เงินอย่างสูง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ระมัดระวังในการใช้จ่ายถึงขั้นกระเหม็ดกระแหม่ เรียกว่ารู้จักใช้เงิน หรือใช้เงินเป็นดีกว่า"

นี่เป็นการวางแผนทางการเงินฉบับนักบิน ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าคนในอาชีพอื่นๆ

Oอาจารย์วางแผนการเงินสไตล์สาวโสด

"ปิติพีร์ รวมเมฆ" อาจารย์ประจำ และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกคนหนึ่งที่วางแผนการเงินฉบับสาวโสด

เธอเล่าให้ฟังว่าปกติเคยใช้บริการวาง แผนการลงทุนกับพวก Private Wealthทั้งของไทยและของฮ่องกงมาก่อน แต่ความที่มีอาชีพสอนหนังสือ จึงจำเป็นต้องอัพเดทข้อมูลบริการพวกนี้ จึงลองใช้บริการ K-We Plan ซึ่งนับว่าเป็นมิติใหม่ของการบริการที่เริ่มจากการเป็น “ผู้ให้” ก่อน ทำให้คนใช้บริการรู้สึกดี และอยากตอบแทนกลับคืน อย่างบริการวางแผนลงทุน ปกติจะเน้นที่คำถามว่ามีเงินเท่าไร อยากฝากเท่าไร จะลงทุนอะไรยังไง แต่ K-We Plan ให้มากกว่านั้น คือวางแผนให้ทั้งชีวิตเลย ดูไปถึงว่ามีทรัพย์สิน ความมั่งคั่งเท่าไร มีเพชร มีทองหรือของใช้แบรนด์เนมที่สามารถแปลงเป็นเงินได้ไหม

"ทำให้รู้สึกเลยว่า ที่ผ่านมาเราเสียเงินไปกับสินค้าแบรนด์เนมไปไม่ใช้น้อย และของพวกนี้บางอย่างก็เหมือนการลงทุนเพราะนำไปขายต่อได้ แล้วก็ทำให้เห็นภาพว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิต มีไลฟ์สไตล์ยังไง รู้จักการวางแผนได้ดีขึ้น และทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า สมมุติถ้าเราตกงานขึ้นมา เงินที่มีอยู่สามารถทำให้เราอยู่รอดไปได้นานแค่ไหน หรือมองไปอนาคตว่าอยากเกษียณตอนอายุแค่ไหน มีชีวิตไปจนอายุเท่าไร จะต้องใช้เงินแค่ไหนเมื่อถึงตอนนั้น"

ปิติพีร์ ยังบอกว่า K-We Plan มีจุดเด่นตรงที่มีโปรแกรมการวางแผนที่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้การเงิน ซึ่งเหมาะกับทุกๆ คน และไม่ทำให้รู้สึกเลยว่าเป็นการชวนให้ซื้อผลิตภัณฑ์ของธนาคาร ซึ่งต่างจากบริการวางแผนการเงินส่วนบุคคลอื่นๆ แพลนเนอร์ที่ให้คำแนะนำก็มีความรู้ความชำนาญจริง

ก่อนหน้านี้ เธอบอกว่าได้เรียนรู้การวางแผนการเงินมาจากพ่อแม่ซึ่งเป็นนักธุรกิจ และจากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา เพราะเคยทำงานด้านที่ปรึกษาให้กับอินเวสเม้นท์ แบงกิ้ง จึงคุ้นเคยกับการลงทุนมาพอสมควร

"เมื่อก่อนก็เคยมีนิสัยเสียเรื่องเงิน เงินเดือนได้มาเท่าไหร่ ก็ใช้หมด ไม่เคยเก็บ เพราะมีพ่อแม่คอยซัพพอร์ตเรื่องเงินอยู่ แต่พอถึงวันหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่า เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต สิ่งสำคัญคือจะทำตัวให้มีคุณค่าและประโยชน์กับคนอื่นได้อย่างไร จึงหันมาสอนหนังสือ แม้รายได้จะน้อยกว่างานเดิมที่เคยทำ แต่รู้สึกเป็นงานที่ทำให้มีความสุข จากรายได้ที่เคยอยู่ในระดับ 6 หลัก ลดฮวบลงมาเหลือแค่ 5 หลักต้นๆ แต่ก็พอใจ ยิ่งรายได้ลดน้อยลงไป ยิ่งทำให้เห็นความสำคัญว่าจะทำให้เงินที่มีอยู่เกิดคุณค่าเพิ่มขึ้นได้อย่าง ไร"

หลักการที่ปิติพีร์ยึดไว้ตลอดคือ จะไม่ใช้เงินในอดีต ไม่ใช้เงินในอนาคต นั่นก็คือไม่ก่อหนี้สิน ใช้เงินปัจจุบันเท่านั้น เงินเดือนทุกเดือนต้องกันส่วนหนึ่งไปฝากกับสหกรณ์ของมหาวิทยาลัย

ในฐานะที่เป็นโสดคนหนึ่ง เธอมองว่าสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตคนโสดคือ สามารถรับผิดชอบตัวเองได้ ต้องมีหลักประกันซึ่งเราสร้างได้ด้วยตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่เป็นภาระกับใคร หรือแม้แต่วันข้างหน้าจะมีครอบครัว ก็ต้องมีความพร้อม ไม่ต้องพึ่งพาใคร มองไปจนถึงวันที่เราเสียชีวิตไปแล้ว ก็ควรจะมีเงินก้อนหนึ่งไว้สำหรับจัดงานศพของเราด้วยซ้ำไป ทั้งหลายทั้งปวง คืออยากบอกว่า การวางแผนการเงินสำคัญมาก

"ที่ผ่านมาก็มีการลงทุนอยู่แล้ว เช่นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และลงทุนในตลาดหุ้นบ้าง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากคุยกับแพลนเนอร์ของ K-We Plan ก็จะมองไปไกลกว่านั้น คิดว่าแต่ละเดือนจะใช้เงินอย่างไร ไม่ว่าจะเงินเดือน หรือรายได้จากแหล่งอื่นๆ จะคิดเผื่อไปอีกต่างๆ นานา

เช่น ถ้ารายได้จากการให้เช่าอสังหาฯ หายไป จะทำอย่างไร ข้าวของเครื่องใช้แบรนด์เนมที่มีอยู่จะเอาไปขายต่อได้ไหม เวลาจะซื้อของก็คิดว่าต่อไปจะสามารถแปลงสภาพเป็นเงินได้ไหม หรือถ้าจะท่องเที่ยว ก็ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ว่าจะใช้เงินเท่าไร จะได้แบ่งเงินได้ถูก K-We Plan ยังจุดประกายให้เห็นว่า เสื้อผ้า เครื่องประดับที่ไม่ใช้แล้ว เอามาขายได้ไหม เคยคุยกับลูกศิษย์ เขาบอกว่า เครื่องสำอางใช้แล้วบางอย่าง ยังเอามาขายต่อได้ ทำให้เราเห็นว่า ของทุกอย่างมีคุณค่า"

เธอมีข้อแนะนำเรื่องเงินๆ ทองๆ แบบง่ายๆ สำหรับคนทำงานและสาวโสดทั่วไป ว่าการเก็บเงินเริ่มได้ทันทีจากจำนวนเล็กๆ น้อยๆ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ออมแค่วันละ 10 - 20 บาท พอเป็นปีก็เยอะขึ้นมาเอง ใช้แต่เงินปัจจุบัน อย่าใช้เงินอนาคต อย่าเป็นหนี้ ต้องหาสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย รู้จักจดบันทึกการใช้จ่ายประจำวัน และรู้จักการลงทุน โดยเลือกช่องทางที่มีความเสี่ยงในระดับที่เรารับได้

เป็นแบบฉบับการวางแผนการเงินของสาวโสดที่น่าจะทำให้มีชีวิตบั้นปลายอย่างแสนสุข

Oวางแผนเพื่อชีวิตที่ใช่และวัยเกษียณที่ชอบ

"จิรวรา วีรยวรรธน" ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โอกิลวี่ พับลิค รีเลชั่นส์ เวิลด์วายด์ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนทำงานที่หันมาวางแผนการเงิน เธอเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้วางแผนการเงิน แต่ก็เป็นคนที่ไม่ใช้เงินเกินตัว เพราะไม่ชอบเป็นหนี้ ที่ผ่านมาจึงมีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ตอนเรียนใช้เงินพ่อแม่ ก็จะใช้เงินแบบประหยัด เพราะเกรงใจรู้สึกว่าไม่ใช่เงินของตัวเอง จะไม่มีการขอเพิ่ม แต่พอเริ่มทำงานจึงเริ่มใช้เงินอย่างเต็มที่ เพราะรู้สึกว่าเป็นเงินของเราเอง

"ตอนทำงานใหม่ๆ มีบัตรเครดิต 6 ใบ ใช้จนปวดหัวจำไม่ได้ว่าใช้อะไรบ้าง เงินที่ใช้ไปส่วนใหญ่ก็จะเป็นการชอปปิ้ง กิน ดื่ม เที่ยว แบบไร้ขีดจำกัด และเป็นคนชอบท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แต่ก่อนไม่เคยมีเป้าหมายทางการเงินจริงๆ จังๆ มีเงินเก็บบ้าง แต่ไม่เคยนำเงินไปลงทุนอะไร เลยเพราะไม่ชอบ เรื่องเงินๆ ทองๆ รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก ส่วนใหญ่เงินที่ชอปปิ้ง ก็เป็นของที่สาวๆ ชอบอยู่แล้ว คือเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า"

แต่เหตุที่ทำให้เธอหันมาวางแผนทางการ เงินอย่างจริงจัง เพราะได้ยินจากเพื่อนๆ หลายคนที่ไปใช้บริการ K-WePlan มาแล้วก็มาพูดให้ฟังว่าคนเราเมื่ออายุมากขึ้น เหลือเวลาทำงานไม่เยอะ ถ้าไม่รีบวางแผนทางการเงิน ชีวิตหลังเกษียณ หรือชีวิตที่เราอยากจะเป็น ในอนาคตจะเป็นอย่างไร

"พอเพื่อนพูดก็เริ่มฉุกคิดขึ้นมาว่า น่าจะจริงนะเพราะเราก็อยากจะเกษียณเร็วกว่ากำหนด และเราก็ชอบการท่องเที่ยว เป็นชีวิตจิตใจ ถ้าเราไม่วางแผนตอนนี้ แล้วเราจะได้ชีวิตอย่างที่เราต้องการหลังเกษียณมั้ย"

จิรวรา บอกว่าจากการไปทำ Financial Check up กับ K-WePlanner มา ทำให้พบว่า จากที่ไม่เคยมีเป้าหมายจริงจัง ก็ทำให้เราเริ่มอยากมีเป้าหมายขึ้นมา เพราะที่ผ่านมาการไม่วางแผนการเงินทำให้เราไม่เคยลงทุนอะไรหลายอย่างที่มี ประโยชน์ อาทิกองทุน LTFและ RMF, ซื้อทอง เพชร มีแต่เงินเก็บในธนาคาร ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ จริงอยู่ที่เป็นการประกันความเสี่ยงให้กับชีวิต แต่หากมองในแง่ของการลงทุน ก็เพิ่งค้นพบว่ามีการลงทุนหลายอย่างที่ช่วยลดภาษีได้มาก

"จากการที่ไม่เคยลงทุนอะไร ทาง K-WePlanner จึงค่อยๆ แนะนำเราให้ทำอะไรใหม่ๆ กับชีวิตมากขึ้น อาทิ การจดรายรับ - รายจ่าย ในเวลา 1 เดือน เพื่อให้ทราบว่าค่าใช้จ่ายเราจริงๆ แล้วไปอยู่ที่ค่าอะไรบ้าง แล้วเราค่อยกลับไปปรึกษากับเขาใหม่ เพื่อให้เขาวางแผนทางการเงิน ที่เหมาะกับตัวของเราเองจริงๆ อีกครั้ง เท่ากับว่าเราจะมีงบดุลชีวิตของตัวเองแล้ว เขายังแนะนำให้เราเก็บเงินทุกๆ เดือน พอครบปีก็เอาไปลงทุนใน LTF หรือนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเงินจำนวนนี้พอครบปี เราก็ยังนำไปหักภาษีได้ ซึ่งหากเราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เงินที่หักภาษีได้ก็กลับไปเป็นเงินสะสมให้เราได้อีก ซึ่งเราไม่เคยคิดเลย ว่าเงินพวกนี้จะกลับคืนมาให้เรามากกว่าที่เราคิด หรือแทบจะไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำไป"

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นหลังจากเริ่ม วางแผนการเงิน จิรวราบอกว่า ทำให้เธอเห็นเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนขึ้น เห็นเส้นทางชีวิตของตัวเองที่ต้องเริ่มทำ ซึ่งทำให้คิดได้ว่า จริงๆ แล้วเราน่าจะทำได้เร็วกว่านี้ เพราะถ้าตั้งใจจะเกษียณตอนอายุ 50 หรือ 55 ปี ก็เท่ากับเหลือเวลาอีกหลายสิบปี ที่อาจจะไม่มีรายได้เลย แถมเงินเฟ้อก็สูงขึ้นทุกปี

"ตอนแรกคิดว่ายากมาก ไม่อยากทำ ไม่อยากให้ใครมากำหนดเรา เพราะเราเป็นพวกอารมณ์ศิลปิน แต่พอได้เริ่มพูดคุยกับที่ปรึกษา ที่มีวิธีจุดประกายให้เห็นความสำคัญอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต จึงทำให้เราต้องเริ่มมีวินัย และพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยนแปลง คือ เริ่มวางแผน หรือถ้าทำไม่ได้ก็ให้คนมาช่วยเรา เพื่อให้เรามีเข็มทิศชีวิต ของตัวเอง เพราะเราจะได้ผู้ช่วย หรือตัวช่วยที่ทำให้ชีวิตของเรามีเส้นทางไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้น และไม่หลงทางด้วย และที่สำคัญที่สุด คือ ความสบายใจ ที่จะได้มีชีวิตที่ตัวเองต้องการหลังวัยเกษียณที่ชัดเจนขึ้น

ที่สำคัญ เขาไม่ได้บังคับให้เราต้องลงทุนกับธนาคาร หรือบริษัทในเครือกสิกรไทย ใดๆ ทั้งสิ้น เช่น เราสะดวกใช้แบงก์ที่เรามีอยู่เราก็ใช้แบงก์นั้น มันเป็นการบริการที่ดี และทำให้เราประทับใจ จนทำให้เราคิดว่ามีประโยชน์มากๆ ที่จะแนะนำเพื่อนๆ ชาวเอเยนซี ให้เริ่มคิดกันบ้างแล้ว กว่าจะรู้ตัวอาจจะสายเกินไปได้ ว่าการเก็บเงินเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ช่วยอะไรได้มากนัก ต้องมีการลงทุนที่เหมาะกับเราถึงจะดีกว่า เป็นตัวช่วยให้เป้าหมายเป็นจริงมากขึ้น ไม่เช่นนั้น ชีวิตเริ่มการวางแผน ยิ่งช้า ก็ยิ่งเหนื่อย"

เธอทิ้งท้ายว่า หากคนเรามีการวางแผนทางการเงินที่ดี เศรษฐกิจจะแย่แค่ไหน ก็ทำให้ชีวิตเสี่ยงน้อยลง บางคนอาจจะยุ่งกับหน้าที่การงาน จนไม่มีเวลาที่จะวางแผนเรื่องเงินๆ ทองๆ แต่ K-WePlan จะช่วยวางแผนการเงิน และทำให้เป็นชีวิตอย่างมีเป้าหมายในแบบที่เราต้องการ

นี่เป็นแผนการเงิน 3 แบบ 3 สไตล์ อาจจะต่างกัน แต่ที่เหมือนกันคือ เขาได้ลงมือวางแผนการเงินเพื่อชีวิตที่มีคุณภาพและอนาคตอันหอมหวาน

ราคาทองทะยานจากดีมานด์การลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ในขณะที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบกัน ทั่วถ้วนหน้า มีเพียง "ทองคำ" และดัชนีพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก เท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในรอบปี 2551

ก้าวเข้าสู่ปีฉลูได้เพียงไม่นาน ราคาทองคำก็กลับมาวิ่งทะยานสวนกระแสเศรษฐกิจโลกซบอีกครั้ง โดยราคาทองคำแท่งในประเทศได้ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ตลอดกาลทะลุ 16,000 บาทไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเซียนในวงการทองมองกันไปที่ระดับ 17,000 บาทแล้วในปีนี้

ในขณะที่ทองคำโลกก็กำลังรอทดสอบจุด สูงสุดตลอดกาล ที่ทำไว้ในปี 2551 ที่ 1,032 ดอลลาร์ต่อออนซ์ กันอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งคงต้องตามลุ้นกันต่อไป

@ ราคาทองทะยานจากดีมานด์การลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ปกติราคาทองคำจะเคลื่อนไหวผกผันกับค่าเงินดอลลาร์คือเมื่อใดที่ค่าเงิน ดอลลาร์อ่อนค่า ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้น และเมื่อใดที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำก็จะปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม “ดร.ศุภกร สุนทรกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี บอกว่า ในช่วงประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำเริ่มเปลี่ยน ไป

โดยค่าเงินดอลลาร์แม้จะมีทิศทางที่ แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทั่วโลก แต่ราคาทองคำก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน เหตุผลหนึ่งเพราะดอกเบี้ยของสหรัฐต่ำผิดปกติ โดยดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อยู่ที่ 0.25% การจะไปถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพื่อรับดอกเบี้ยผลตอบแทนจึงไม่ดึงดูดนัก ลงทุน

“แต่ถ้าจะไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ของกลุ่มยุโรป อังกฤษ หรือญี่ปุ่นเองอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำเช่นเดียวกัน คนจึงหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นเมื่อนักลงทุนไม่มีทางเลือกในการลงทุนมากนัก ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจโลกไม่ดีเช่นนี้”

การเคลื่อนไหวของราคาทองคำตั้งแต่ช่วงต้นปี 2552 ที่ผ่านมา จะถูกผลักดันจากดีมานด์ในฝั่งการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนเป็นหลัก ในขณะที่ซัพพลายของทองคำเองไม่ได้เพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคาปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำมีความผันผวนมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน และในระยะยาวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลกที่อัดฉีดเม็ดเงิน เข้าไปในระบบจำนวนมหาศาลเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง อาจจะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อติดตามมาได้ในอนาคตซึ่งนั่นจะส่งผลให้ราคาทองคำ ปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องในระยะยาว

“จากการคาดการณ์ราคาทองคำของสถาบัน ต่างๆ ทั่วโลกแม้ในเรื่องของตัวเลขของแต่ละที่จะแตกต่างกันไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือทิศทางของการมองราคาทองคำที่เหมือนกันคือราคา ทองคำในไตรมาสที่ 2/2552 มีแนวโน้มที่สูงกว่าไตรมาสที่ 1/2552 โดยในช่วงสั้นราคาทองคำจะมีความผันผวนค่อนข้างสูงและมีโอกาสที่จะถูกขายทำ กำไรออกมาได้ในระยะสั้นเช่นเดียวกัน หลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว”

@ ทองคำปี 52 มีโอกาสทำจุดสูงสุดตลอดกาล

“น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการ ห้างทองแม่ทองสุก เยาวราช ในฐานะรองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ บอกว่า ล่าสุดจากมุมมองนักวิเคราะห์ทั่วโลก 31 คน มี 26 คนแนะนำให้ซื้อทองคำ มี 4 คนแนะนำให้ขาย และมีเพียง 1 คนที่เฉยๆ

ในขณะที่ Morgan Stanley ได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับราคาทองคำโดยมองว่าราคาทองคำจะขึ้นต่อเนื่องใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยในปี 2552 มองราคาทองคำเฉลี่ยไว้ที่ 900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และจะเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ละ 50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นมุมมองราคาทองที่ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการประเมิน

ทั้งนี้จุดต่ำสุดของราคาทองคำในปี 2552 ไม่น่าจะหลุดต่ำกว่า 850-800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะจุดต่ำสุดของปี 2551 อยู่ที่ระดับ 750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่จุดสูงสุดของราคาทองคำในปี 2552 น่าจะมีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดของปี 2551 ในเดือนมี.ค.ที่ระดับ 1,032 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลของราคาทองคำโลกในปัจจุบันอยู่ ซึ่งถือเป็นแนวต้านทางเทคนิคของราคาทองคำที่มีโอกาสที่ราคาจะขึ้นไปทดสอบแนว ต้านนี้ในปี 2552 นี้ ซึ่งหากทะลุขึ้นไปได้ราคาทองคำจะขึ้นมาทำ “ จุดสูงสุดตลอดกาล (All Time High)” ใหม่อีกครั้งในปีนี้

“อย่างไรก็ตาม ในปี 2552 นี้เราจะเห็นราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวนรุนแรงมากกว่าในปี 2551 ที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเป็นตลาดที่เหมาะกับการเล่นรอบหากนักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจและ สามารถอ่านจังหวะตลาดได้ขาด แต่สำหรับการลงทุนระยะยาวแล้วราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นอยู่แน่นอน ตราบใดที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ดีและยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอย่างน้อย 2-3 ปี ดังนั้นราคาทองคำในช่วง 1 ปีข้างหน้ายังอยู่ในทิศทางขาขึ้นแน่นอน แต่ระยะสั้นจะมีความผันผวนค่อนข้างมาก”

@ ทองคำขึ้นด้วยพื้นฐาน

“วรรธนะ วงศ์สีนิล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟิลลิป มองว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกแย่เช่นนี้ ทองคำถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจลงทุนมาก เพราะบุคลิกของทองคำเองมีความแตกต่างจากสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทอื่น ทองคำก็คือทองคำ ทองคำเพื่อการลงทุนที่พูดถึงนี้คือทองคำ 99.99% เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกรู้จักและยอมรับโดยทั่วไป ยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจโลกไม่ดีแต่ละประเทศกลัวค่าเงินของตัวเองจะเสื่อมค่า ก็หันมาถือครองทองคำเพิ่มมากขึ้น เพราะทองคำเป็น Safe Heaven ที่มีค่าในตัวเอง

คนถือทองคำเสมือนหนึ่งเป็นสกุลเงินหนึ่งที่ไม่มีวันเสื่อมค่าสามารถนำไปแลก เปลี่ยนเป็นเงินที่ไหนก็ได้ในโลกค่าของทองคำมีแต่จะแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ หากมองว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ดีไปอีก 2-3 ปี การลงทุนในทองคำในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี

“มองว่าราคาทองคำจะค่อยๆ ทยอยปรับตัวขึ้นไปมากกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และความเสี่ยงในขาลง (Downside Risk) มีไม่มาก เราอาจจะไม่ได้เห็นราคาทองคำที่ระดับ 900 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกเลยก็ได้ การลงทุนในทองคำง่ายและมีความเป็นมาตรฐานสามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้สะดวก และคงคุณสมบัติที่เหมือนกันเอาไว้ได้ ต่างกันกับเพชรหรือทับทิมสยาม นอกจากนี้ราคาทองคำยังขยับขึ้นด้วยพื้นฐานไม่ใช่จากการปั่นราคาขึ้นมาเหมือน กับน้ำมัน ซึ่งทำให้ไม่มีความน่าสนใจลงทุน”

เช่นเดียวกับ น.พ.กฤชรัตน์ ที่มองว่า ปัจจัยต่างๆ ในปัจจุบันเป็นผลบวกต่อการปรับขึ้นของราคาทองคำทั้งสิ้นไม่ว่าจะมองในเชิง “ปัจจัยพื้นฐาน” หรือการ “วิเคราะห์ทางเทคนิค” โดยนักลงทุนที่ลงทุนในทองคำปัจจุบันจะอ้างเหตุผลความเป็น “Safe Heaven” ของทองคำมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากมองด้วยปัจจัยพื้นฐานล้วนเป็นบวกกับราคาทองคำทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ภาวะถดถอยเกือบจะทุกโซนทั่วโลกมองไปข้างหน้ายังไม่มี อะไรดีเลย หรือค่าเงินดอลลาร์ที่มีความสัมพันธ์เปลี่ยนไปกับราคาทองคำเป็นครั้งแรกนับ ตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา

สะท้อนให้เห็นว่า คนไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนไว้ที่ไหน ก็เอามาลงทุนในทองคำในฐานะที่เป็น Safe Heaven แทน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยโลกที่ทรงตัวในระดับต่ำจะเป็นตัวผลักดันให้ราคาทองคำยิ่ง ปรับตัวสูงขึ้น นี่ยังไม่นับรวมถึงปัจจัยเรื่องความเสี่ยงของภาวะสงครามซึ่งหากเกิดขึ้นจะ ยิ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำเพิ่มขึ้นด้วย

“ ปัจจุบันทองคำได้เปลี่ยนมาแสดงบทบาทในอีกมิติหนึ่งในฐานะที่เป็นสกุลเงิน หนึ่งของโลกคือ Gold Currency ในปี 2549 ทองคำให้ผลตอบแทน 15% ในปี 2550 ให้ผลตอบแทน 20% ในปี 2551 ให้ผลตอบแทน 3.5% โดยในระหว่างปีมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงผันผวน 30-40% ซึ่งในปี 2552 นี้คาดว่าราคาทองคำจะมีความผันผวนมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่เมื่อมองทองคำในด้านการลงทุนก็ยังมีปัจจัยที่มารองรับอยู่ เพราะหันไปทางไหนก็ไม่มีช่องทางการลงทุนไหนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงได้ เลย ซึ่งคุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างของทองคำคือมี 2 ขา แม้เศรษฐกิจโลกจะทำให้ดีมานด์ในฝั่งเครื่องประดับลดลงก็ตาม แต่ดีมานด์ในเรื่องการลงทุนกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 100% แล้ว ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ”

@ เศรษฐกิจโลกฟื้นอาจทำราคาทองคำนิ่งได้

“บุญเลิศ สิริภัทรวณิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.ออสสิริส อธิบายว่า ราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา แต่ก่อนหน้านั้นจะเป็นช่วงที่ราคาทองคำนิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวไปไหน เช่นเดียวกันหากในอนาคตเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอีกครั้งราคาทองคำอาจจะกลับมา นิ่งๆ อีกครั้งได้เช่นเดียวกัน แต่จากปัจจุบันที่มองกว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวก็จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี

แนวโน้มของราคาทองคำก็ยังคงเป็นขา ขึ้นอยู่ ปัจจุบันมุมมองของนักลงทุนทั่วโลกมองราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 880 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยคนที่มองดีสุดมองราคาทองคำอยู่ที่ 1,073 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมองต่ำสุดที่ 720 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้หากมองจากต้นทุนการผลิตทองคำเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ 620-680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ลดลงมาเหลือ 600-630 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลงมามาก ตรงนี้น่าจะเป็นจุดรับพื้นฐานของราคาทองคำได้

“ดังนั้น จากราคาทองคำในปัจจุบันเมื่อเทียบกับมุมมองต่อราคาทองคำที่มีอยู่ในแต่ละจุด ก็ถือเป็นความเสี่ยงของนักลงทุนเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 นี้ราคาทองคำน่าจะมีการเคลื่อนไหวผันผวนมาก แต่ในระยะยาวทองคำยังเป็นขาขึ้นอยู่” บุญเลิศ กล่าว

ที่มา : สรวิศ อิ่มบำรุง

การบ้าน 7 ข้อ ต้องทำก่อนซื้อ..หุ้นกู้

" หุ้นกู้เอกชน" มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย ถ้าคิดจะลงทุนต้องตอบให้ได้ก่อนว่า ตัวแปรอะไรบ้างที่ต้องดู คำถามอะไรบ้างที่ต้องตอบตัวเองก่อนตัดสินใจ

เพราะ ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง กฎเหล็กของการลงทุน จึงไม่ควรมองแต่ด้านที่หอมหวานของผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสำรวจความเสี่ยงให้รอบด้าน หาจุดอ่อนจุดแข็งมาช่างน้ำหนัก เพื่อเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ

“ธิติ ตันติกุลานันท์” ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ คำถามจากนักลงทุนและผู้ฝากเงินที่ว่า

“ลงทุนที่ไหนดี...?”

นั่นเป็นคำถามที่ทั้งผู้ฝากเงินและนักลงทุนต่างต้องการคำตอบในเวลานี้ ด้วยสภาวะการลงทุนในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบทั้งจากปัญหาทางการเมืองภายใน ประเทศและเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยทำให้ทางเลือกในการลงทุนมีแนวโน้มลดลง และต้องระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น

"การลงทุนในหุ้นกู้จึงเป็นอีกทางเลือกที่ทั้งผู้ฝากเงินและนักลงทุนที่ควรจะ พิจารณาแบ่งสรรเงินมาลงทุนไว้ในพอร์ตของคุณเอง และถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีในช่วงเวลานี้ เพราะนอกเหนือจากที่จะมีรายได้ประจำ และมีผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยแล้ว ยังมีสภาพคล่องจากการซื้อขายผ่านตลาดรองตราสารหนี้อีกด้วย และที่สำคัญผู้ลงทุนสามารถเลือกจังหวะในการซื้อขายหุ้นกู้ผ่านตลาดรอง เพื่อเป็นการลงทุนระยะสั้นและทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นกู้ได้อีก"

แต่หุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนเองก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าทุกตัวจะดีและเพอร์เฟคท์จนน่าลงทุนไปเสียหมด เอาเป็นว่า ก่อนจะลงทุน ธิติแนะว่าควรสำรวจ 7 ข้อเหล่านี้ให้ถ้วนถี่ จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด

Oเรทติ้งจำเป็นแค่ไหน

ธิติอธิบายว่าการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเป็นความเห็นจากสถาบันจัดอันดับ ความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับ เช่น TRIS หรือ Fitch ซึ่งประเมินจากทั้ง 1) ข้อมูลเชิงจำนวน เช่น ความสามารถในการทำกำไร โครงสร้างเงินลงทุน และกระแสเงินสด และ 2) ข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น การวิเคราะห์ความเสี่ยงของอุตสาหกรรม และความเสี่ยงของกิจการ ซึ่งสะท้อนระดับความสามารถในการชำระหนี้

โดยทั่วไปอันดับความน่าเชื่อถือในระดับน่าลงทุน (Investment grade) หมายถึง อันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ BBB- ขึ้นไปจนถึง AAA (เรียงตามลำดับความเสี่ยงสูงกว่าไปต่ำกว่า) ทั้งนี้ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ลงทุนแต่ละรายจะแตกต่างกันไป

ด้าน "ณัฐวุฒิ สัจจพุทธวงค์" นัก เศรษฐศาสตร์การเงินอาวุโส กลุ่มบริหารการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า คำว่าเครดิตเรทติ้ง (Credit Rating) หรืออันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้เป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ในการนำมาพิจารณาเลือกซื้อหุ้นกู้ โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศจะทำการจัดลำดับความ น่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่มีขายในตลาดทุกตัว โดยดูจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัท อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ผลกำไรของบริษัทในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มในอนาคต

นอกจากนี้ การพิจารณาเรทติ้งทำให้เราสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนของหุ้นกู้ของแต่ละ บริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ หรือแม้กระทั่งเปรียบเทียบผลตอบแทนของหุ้นกู้ต่างอุตสาหกรรมกันที่มีเรทติ้ง เท่ากันเพื่อดูว่าอุตสาหกรรมใดหรือบริษัทใดให้ผลตอบแทนดีกว่ากันบนระดับความ เสี่ยงที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น เรทติ้งจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นกู้

"วิศิษฐ์ ชื่นรัตนกุล" ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.ธนชาตมองว่า เรทติ้งมีความจำเป็น แต่เครดิตเรทติ้ง AA ไม่ได้รับประกันว่าหุ้นกู้นี้จะไม่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ สิ่งที่สำคัญการวิเคราะห์เครดิตของบริษัท คือ ทั้งงบการเงิน และผู้บริหารของบริษัท และต้องติดตามตรวจสอบตลอดเวลา เนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลง มีผลกระทบต่อบริษัท ทำให้สถานะทางการเงินเปลี่ยนแปลงไป

Oสำรวจตัวตน-เนื้อในของบริษัท

ส่วน การสำรวจลักษณะการประกอบธุรกิจของผู้ออกหุ้นกู้นั้น ธิติมองว่าโดยทั่วไปความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของหุ้นกู้ที่ลง ทุนมาจากการผลการดำเนินงานของผู้ออกหุ้นกู้ ดังนั้น ผู้ลงทุนควรพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไร ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ความยืดหยุ่นของจังหวะการลงทุนของกิจการ รวมถึงกฎระเบียบของทางการ นอกจากนี้ ยังควรคำนึงถึงชื่อเสียงของผู้บริหารและผู้ออกหุ้นกู้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยว ข้อง ซึ่งสามารถศึกษาข้อมูลได้จากหนังสือชี้ชวน

ณัฐวุฒิ สริมว่าการเข้าใจในบริษัทหรืออุตสาหกรรมของบริษัทที่เราจะลงทุนในหุ้นกู้ นั้น เป็นสิ่งสำคัญไปไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นๆ โดยที่การพิจารณาถึงบริษัทเจ้าของหุ้นกู้นั้น อยากจะให้พิจารณาสองประเด็นหลัก

ประเด็น ที่หนึ่ง..เป็นการพิจารณา เชิงคุณภาพ (Qualitative) อันประกอบไปด้วย ทำความเข้าใจบริษัทที่เป็นเจ้าของหุ้นกู้นั้นทั้งในส่วนของปัจจัยพื้นฐานของ บริษัท รูปแบบการบริหารงาน นโยบายและกลยุทธ์ คู่แข่ง รวมไปถึงอุตสาหกรรมนั้นว่าเป็นอย่างไร เป็นต้น

ประเด็น ที่สอง..ที่ต้องพิจารณาคือ การพิจารณาเชิงปริมาณ (Quantitative) อันได้แก่ การวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท โดยอาจดูสัดส่วนทางการเงินหลักๆ เช่น ความสามารถในการทำกำไร สัดส่วนหนี้สินต่อทุน เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันอีกด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วในส่วนการวิเคราะห์เจาะลึกนี้จะถูกครอบคลุมโดยกระบวนการ จัดลำดับความน่าเชื่ออยู่แล้ว นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบได้จากลำดับความน่าเชื่อถือได้

วิ ศิษฐ์ บอกว่า สิ่งสำคัญในการพิจารณางบการเงิน คือความเห็นของ ผู้ตรวจสอบบัญชี ในหน้าแรกของงบการเงิน ถ้าผู้ตรวจสอบบัญชี มีความเห็นว่าไม่สามารถให้ความเห็นในงบได้ หรือมีข้อสงสัย แสดงว่าบริษัทนี้น่าจะมีปัญหา ถัดมาเป็นกระแสเงินสดของบริษัท หลายบริษัทมียอดขายเพิ่ม กำไรเพิ่ม แต่กระแสเงินสดติดลบ ซึ่งอาจจะเกิดการสร้างยอดขายเทียมเกิดขึ้น ลูกหนี้ปลอม ซึ่งในที่สุดไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้ได้ ซึ่งในอดีตมีหลายบริษัทแล้ว

นอก จากนี้ เขาแนะให้ดูหนี้สินต่อทุน ซึ่งโดยทั่วไปไม่เกิน 1 เท่า ยกเว้น ธนาคารพาณิชย์ หรือ บริษัทที่ต้องลงทุนในสินทรัพย์ถาวรมาก อีกทั้ง ยังจำเป็นต้องดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน และผู้บริหารมีส่วนสำคัญมาก

บริษัทอยู่ รอดหรือไม่ คณะกรรมการบริษัท และผู้บริหารมีส่วนสำคัญ สิ่งที่ใช้ในการวิเคราะห์ วิสัยทัศน์ Corporate governance ไม่มีประวัติฉ้อโกง การปั่นหุ้น การถ่ายเทผลประโยชน์ออกจากบริษัท ลงทุนอยู่ในกรอบ ไม่ลงทุนในสิ่งที่ไม่ถนัด ความระมัดระวังในการบริหาร และการมีหน่วยงานตรวจสอบภายในที่เข้มแข็ง เป็นอิสระที่ขึ้นโดยตรงกับ คณะกรรมการบริษัท ทำให้สามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Oผลตอบแทนเท่าไหร่

ผลตอบแทนจากการลงทุน หุ้นกู้ส่วนใหญ่ในตลาดให้ผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ตลอดอายุหุ้นกู้ (Fixed coupon) หรืออัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ทยอยปรับขึ้น (Step-up coupon) ซึ่งธิติแนะนำให้พิจารณาผลตอบแทนของหุ้นกู้ควบคู่กับอายุหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือ และความเสี่ยงอื่นๆ ตามหลักที่ว่าผลตอบแทนสูงกว่าจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่า (High risk high return) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และผลตอบแทนที่ คาดหมาย

ทางด้านณัฐวุฒิเห็นว่าผลตอบแทนของหุ้นกู้นั้นจะแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ โดยหากพิจารณาเปรียบเทียบในเรื่องของความเสี่ยงแล้ว ผลตอบแทนของหุ้นกู้จะย่อมสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากมีความเสี่ยงทางด้านเครดิต

นอก จากนี้ แล้วยังต้องสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ด้วยเนื่องจากใน ปัจจุบันนั้นการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ยังได้รับการคุ้มครองจากสถาบันคุ้ม ครองเงินฝากเต็มจำนวน ซึ่งเปรียบเสมือนกับไม่มีความเสี่ยงนั่นเอง ทั้งนี้ ผู้ลงทุนอาจสงสัยว่าส่วนต่างที่เหมาะสมหรือต้องสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลหรือ เงินฝากเท่าไหร่ถึงจะพอดี ในประเด็นนี้ต้องพิจารณาจากความเสี่ยงของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ ว่าในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งนั้นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมประเภทนั้นเป็นอย่างไร

ตัวอย่างเช่นในบางช่วงที่ความเสี่ยงต่ำหรือผลการดำเนินงานดีมากๆ ส่วนต่างของผลตอบแทนอาจจะไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล ในทางตรงกันข้ามในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น ผลตอบแทนของหุ้นกู้อาจจะสูงมากขึ้นเมื่อเทียบกับการลงทุนอื่นๆ เป็นต้น นอกจากนี้เครดิตเรทติ้งยังมีผลต่อผลตอบแทนด้วย โดยหุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้งต่ำจะมีผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้ที่มีเครดิต เรทติ้งสูงกว่าในอายุของหุ้นกู้ที่เท่ากัน ส่วนระยะเวลาและผลตอบแทนของหุ้นกู้นั้น โดยปกติแล้วหุ้นกู้ที่มีอายุยาวมักจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นกู้ที่มีอายุ สั้น

Oความเสี่ยง&จุดอ่อนของหุ้นกู้ล็อตนั้น

ข้อ แนะนำของธิติเกี่ยวกับเรื่องอายุ ของหุ้นกู้ที่เหมาะกับการลงทุนนั้น เขาบอกว่า ผู้ลงทุนควรเลือกซื้อหุ้นกู้ที่มีอายุสอดคล้องกับระยะเวลาการลงทุนที่ผู้ลง ทุนจะสามารถถือหุ้นกู้จนครบกำหนดไถ่ถอนได้ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านราคา (Price risk) ในกรณีต้องขายหุ้นกู้คืนก่อนวันครบกำหนดชำระในตลาดรอง และความเสี่ยงด้านการลงทุนต่อ (Reinvestment risk) ที่อาจทำให้ผู้ลงทุนมิได้อัตราผลตอบแทนรวมตาม

เป้าหมาย นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังควรพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ให้สอดคล้องกับอายุของหุ้นกู้ด้วย

ณัฐวุฒิ ให้แง่คิดเรื่องความเสี่ยงของหุ้นกู้ ว่าโดยหลักคือความเสี่ยงทางด้านเครดิต (Credit Risk) นั่นเอง กล่าวคือการลงทุนในหุ้นกู้นั้นเปรียบเสมือนการปล่อยกู้ให้แก่เจ้าของกิจการ หรือบริษัท ซึ่งแตกต่างไปจากการลงทุนในหุ้นซึ่งผู้ลงทุนจะเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของ กิจการ

นอกจากนี้ หุ้นกู้ส่วนใหญ่โดยเฉพาะหุ้นกู้เอกชนโดยส่วยใหญ่แล้วมักจะไม่มีการรับประกัน จึงมีความเสี่ยงที่เงินต้นจะสูญหากบริษัทหรือกิจการที่เราถือครองหุ้นกู้ นั้นอยู่ประสบปัญหาล้มละลายหรือไม่สามารถชำระหนี้ได้ เราอาจเรียกความเสี่ยงประเภทนี้อีกแบบหนึ่งว่า Default Risk นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในเรื่องสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ในการซื้อขายของหุ้นกู้ล็อตนั้นในตลาดรอง

Oอายุสั้นยาวสำคัญหรือไม่

การพิจารณาอายุของหุ้นกู้ที่จะลงทุนนั้น ณัฐวุฒิมองว่าสามารถพิจารณาได้หลายแนวทาง ในอันดับแรกนั้นเราต้องมั่นใจในบริษัทที่เราจะลงทุนเสียก่อน เนื่องจากการลงทุนในหุ้นกู้นั้นเปรียบเสมือนการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจหรือ บริษัทนั้น หากเรามีความมั่นใจอย่างมากต่อความสามารถของผู้บริหาร แนวโน้มอุตสาหกรรมและที่สำคัญอนาคตของบริษัทนั้นการลงทุนในหุ้นกู้ระยะยาว อาจเป็นทางเลือกที่ดีมากในสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเช่นนี้ได้

นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นกู้อายุระยะสั้นกับระยะยาวนั้น ปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาประกอบกันคือสภาพคล่องของผู้ลงทุน และความต้องการใช้เงินในอนาคต การลงทุนอายุสั้นหรือยาวจะต้องเหมาะสมกับแผนการออมและความต้องการใช้เงินของ ผู้ลงทุนเป็นสำคัญ ในส่วนของผลตอบแทนนั้นแน่นอนว่าหุ้นกู้อายุยาวย่อมให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นกู้ อายุสั้น

สำหรับประเด็นเรื่องสภาพคล่องนั้น ธิติให้ข้อมูลว่าโดยทั่วไปหุ้นกู้แต่ละล็อตจะมีปริมาณหุ้นกู้ในตลาดมากน้อย ต่างกันไปขึ้นกับความต้องการในการระดมทุน ปริมาณการซื้อขายหลังจากวันออกหุ้นกู้จนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนมักจะมีไม่มาก นัก เนื่องจากผู้ลงทุนส่วนใหญ่มีความประสงค์จะลงทุนตลอดอายุหุ้นกู้ อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนสามารถแจ้งความประสงค์ซื้อขายในตลาดรองผ่านธนาคารต่างๆ ที่รับให้บริการนี้ ซึ่งราคาที่ได้จะขึ้นกับสภาวะตลาดในขณะนั้น

Oเงินลงทุนของคุณร้อนหรือเย็นนานแค่ไหน

คำว่าเงินลงทุน "ร้อน" หรือ "เย็น" นั้นก็คือความหมายของคำว่าความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) นั่นเอง ณัฐวุฒิบอกว่าการจะลงทุนในหุ้นกู้นั้นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าหุ้นกู้ นั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำกว่าเงินฝากธนาคารพาณิชย์หรือพันธบัตร รัฐบาล ก่อนที่จะลงทุนจึงต้องพิจารณาจัดสรรสภาพคล่องของผู้ลงทุนก่อน โดยอาจกันเงินออมระยะยาวจริงๆ มาลงทุนในหุ้นกู้ โดยเงินออมระยะยาวนี้ อาจจะต้องหักเงินเผื่อไว้สำหรับกรณีฉุกเฉินออกไปด้วย เนื่องจากหากนักลงทุนมีความจำเป็นต้องจะต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน การขายหุ้นกู้ออกมาในตลาดรองในบางช่วงบางเวลาอาจจะได้ราคาที่ต่ำมากจนขาดทุน ได้

ธิติ ให้ข้อคิดเพิ่มเติมว่าหุ้นกู้บางรุ่นอาจมีลักษณะเฉพาะต่างจากหุ้นกู้ปกติ ทั่วไป เช่น มีสิทธิแฝงที่อาจแปลงสภาพหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญได้ (Convertible bond) ให้สิทธิผู้ออกหุ้นกู้เรียกคืนก่อนกำหนดได้ (Callable bond) ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้อาจเรียกคืนเมื่ออัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้สูงเกินไปทำให้ผู้ลง ทุนมิได้ผลตอบแทนเป้าหมายตลอดอายุหุ้นกู้ หรือให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้ขายคืนก่อนกำหนดได้ (Puttable bond) มีลักษณะด้อยสิทธิกว่าหนี้อื่น (Subordinated bond) ซึ่งผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจในเงื่อนไขของหุ้นกู้ก่อนการตัดสินใจลงทุน

ด้านวิศิษฐ์เสริมว่าเงินลงทุนในหุ้นกู้ต้องเป็นเงินเย็น เนื่องจากหุ้นกู้ไม่มีสภาพคล่องในการซื้อขาย หุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้งสูงๆ AA ขึ้นไป จะมีสภาพคล่องสูงกว่าหุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้งต่ำกว่าแต่ผลตอบแทนก็น้อย กว่า ถ้ามีความต้องการเงินก่อนอายุหุ้นกู้ครบกำหนดต้องการ อาจจะขาดทุนได้ ถ้าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดปรับตัวสูงขึ้น

Oอ่านทิศทางดอกเบี้ย

ธิติยังให้มุมมองถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งเพิ่งปรับลดมาอยู่ที่ ระดับ 1.25% ในปัจจุบัน ว่าน่าจะใกล้แตะระดับต่ำสุดแล้ว ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินเคลื่อนไหวอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยระยะกลาง (2-5 ปี) และอัตราดอกเบี้ยระยะยาว (10 ปีขึ้นไป) มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ เนื่องจากปริมาณพันธบัตรของภาครัฐที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี ก่อน และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในช่วงปีหน้า

ดังนั้น สภาพคล่องในระบบที่มีแนวโน้มตึงตัวขึ้นจากปริมาณพันธบัตรที่เพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นข้อจำกัดสำหรับการปรับตัวลงของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น และยังทำให้อัตราผลตอบแทนระยะกลางและระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะ ต่อไป

ณัฐวุฒิเห็นว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา ก่อนการเลือกซื้อหุ้นกู้ โดยความเสี่ยงประเภทนี้เรามักเรียกกันว่า ความเสี่ยงจากการลงทุนต่อ (Re-investment risk) หากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในอนาคตมีแนวโน้มปรับตัวลดลง การเลือกซื้อหุ้นกู้ที่มีอายุปานกลางไปจนถึงหุ้นกู้อายุยาวอาจทำให้การลงทุน ของเราคุ้มค่ากว่าการซื้อหุ้นกู้อายุสั้นๆ

ใน ทางตรงกันข้ามหากอัตราดอกเบี้ยใน อนาคตมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ควรจะเลือกซื้อหุ้นกู้ที่มีอายุสั้นๆ พอครบกำหนดก็จะสามารถนำเงินลงทุนในส่วนนั้นมาลงทุนในหุ้นกู้ตัวใหม่ที่ให้ผล ตอบแทนที่สูงขึ้นตามการปรับตัวของดอกเบี้ยได้ เป็นต้น

" จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้น อาจจะฟังดูยุ่งยากสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นกู้มาก่อน แต่หากพิจารณาให้ดีแล้วสามารถสรุปประเด็นความเสี่ยงหรือสิ่งที่ต้องพิจารณา ได้เพียง 4 ข้อหลัก ๆ ก่อนจะทำการลงทุนในหุ้นกู้ อันได้แก่ Credit หรือ Default risk, Market risk, Liquidity risk และ Re-investment risk ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นก่อนจะตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ซึ่ง ในปัจจุบันถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการออมใน รูปแบบเดิมๆ "ข้อแนะนำของณัฐวุฒิ

ธิติ สรุปทิ้งท้ายว่าปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาเหล่านี้ คือสิ่งที่นักลงทุนควรคำนึงถึง แม้ว่าในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจปกติ พอร์ตของคุณจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง เพื่อลดทอนความเสียหายจากการลงทุนที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง

" ที่ผ่านมา ภาคธุรกิจเอกชนได้มอบหมายให้เครือธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่ที่ปรึกษาในการออก หุ้นกู้ และเป็นผู้สนับสนุนในการเสนอขายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนสถาบันการเงินและ ประชาชนทั่วไป ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้นำด้านตลาดตราสารหนี้ในตลาดแรกและตลาดรอง โดยได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ ด้วยความไว้วางใจ และความเชื่อถือจากภาคเอกชนนี้เอง ส่งผลให้เครือธนาคารฯ ได้รับรางวัลด้านตลาดตราสารหนี้ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ในปี 2550-2551 ที่ผ่านมา"

ถ้ารักจะลงทุนอย่างปลอดเสี่ยง การบ้าน 7 ข้อหุ้นกู้เอกชนทิ้งโจทย์ไว้ให้ คงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากมากความจนเกินไป

ที่มา : กาญจนา หงษ์ทอง

Corporate finance

Corporate finance is an area of finance dealing with the financial decisions corporations make and the tools and analysis used to make these decisions. The primary goal of corporate finance is to maximize corporate value while managing the firm's financial risks. Although it is in principle different from managerial finance which studies the financial decisions of all firms, rather than corporations alone, the main concepts in the study of corporate finance are applicable to the financial problems of all kinds of firms.

The discipline can be divided into long-term and short-term decisions and techniques. Capital investment decisions are long-term choices about which projects receive investment, whether to finance that investment with equity or debt, and when or whether to pay dividends to shareholders. On the other hand, the short term decisions can be grouped under the heading "Working capital management". This subject deals with the short-term balance of current assets and current liabilities; the focus here is on managing cash, inventories, and short-term borrowing and lending (such as the terms on credit extended to customers).

The terms Corporate finance and Corporate financier are also associated with investment banking. The typical role of an investment banker is to evaluate company's financial needs and raise the appropriate type of capital that best fits those needs.

What is Investment Banking?

An investment bank is a financial institution that raises capital, trades in securities and manages corporate mergers and acquisitions. Investment banks profit from companies and governments by raising money through issuing and selling securities in the capital markets (both equity, bond) and insuring bonds (selling credit default swaps), as well as providing advice on transactions such as mergers and acquisitions. To perform these services in the United States, an adviser must be a licensed broker-dealer, and is subject to SEC (FINRA) regulation see SEC. Until the late 1980s, the United States maintained a separation between investment banking and commercial banks. Other developed countries (including G7 countries) have not maintained this separation historically. A majority of investment banks offer strategic advisory services for mergers, acquisitions, divestiture or other financial services for clients, such as the trading of derivatives, fixed income, foreign exchange, commodity, and equity securities.

Trading securities for cash or securities (i.e., facilitating transactions, market-making), or the promotion of securities (i.e., underwriting, research, etc.) was referred to as the "sell side".

Dealing with the pension funds, mutual funds, hedge funds, and the investing public who consumed the products and services of the sell-side in order to maximize their return on investment constitutes the "buy side". Many firms have buy and sell side components.

The last two major bulge bracket firms on Wall Street were Goldman Sachs and Morgan Stanley until both banks elected to convert to traditional banking institutions on September 22, 2008, as part of a response to the U.S. financial crisis.[1] Barclays, Citigroup, Credit Suisse, Deutsche Bank, HSBC, JP Morgan Chase, Banco Santander, BBVA and UBS AG are "universal banks" rather than bulge-bracket investment banks, since they also accept deposits (though not all of them have U.S. branches).

ใช้เงินน้อย ทยอยออม ด้วยกองทุนรวม

คำ ถามยอดฮิตที่นิยมถามกันอย่างมากเมื่อคิดที่จะลงทุนในกองทุนก็คือ “ช่วงเวลานี้ลงทุนได้หรือยัง” คงไม่มีใครตอบได้แน่ๆ และโดยอุปนิสัยของนักลงทุนทั่วไปนิยมลงทุนแบบม้วนเดียวจบ และคาดหวังให้ได้กำไรสูงสูดอีกด้วย ซึ่งหมายถึงต้องลงทุนในช่วงเวลาที่ราคาหน่วยลงทุนถูกที่สุดในรอบปี เป็นเรื่องที่คาดการได้ยากว่าช่วงเวลาใดเหมาะสมที่สุด (Market Timing) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองทั้งในและต่างประเทศมีความผันผวนเป็นอย่าง มาก อีกทั้งถ้าไม่ลงทุนและรอดอกเบี้ยจากเงินฝากก็งอกเงยไม่ทันเงินเฟ้ออีกด้วย จึงยากที่จะตอบคำถามเรื่องช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดได้ เคยมั๊ยครับที่คิดว่าวันนี้ ราคาหน่วยลงทุนน่าจะต่ำที่สุดแล้ว “ลงทุนเลย” ปรากฏว่าเวลาผ่านไปราคากลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกว่า “ไม่น่าลงทุนวันนั้นเลย น่าจะรอลงทุนวันนี้ดีกว่า” แต่ถ้าในทางกลับกัน ราคากลับสูงขึ้นแล้วเราไม่ได้ลงทุนเมื่อวันที่ราคาหน่วยลงทุนถูก เราก็จะต้องลงทุนในราคาที่แพงกว่าเป็นต้น

ดังนั้นหากเราทยอยลงทุนสม่ำเสมอในสัดส่วนเงินที่เท่าๆกันทุกเดือน ในระยะยาวนั้น สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนเพียงครั้งเดียว เพราะการลงทุนสไตล์ทยอยลงทุนทุกเดือนเป็นการเฉลี่ยต้นทุนของเงินลงทุนและ ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคากองทุนในตลาดให้ต่ำลง

จึงเป็นที่มาของสไตล์การลงทุนที่เรียกว่า “ใช้เงินน้อย ทยอยออม ด้วยกองทุนรวม : Monthly Pay Money Plus (MPMP)” แถมยังสามารถใช้เงินก้อนเล็ก ในการลงทุนได้อีกด้วย

งาน SET in the City Zone @ Money Expo วันที่ 7-10 พฤษภาคมนี้

เดือนพฤษภาคมนี้ ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมงาน งาน SET in the City Zone @ Money Expo วันที่ 7-10 พฤษภาคมนี้ บริเวณ Meeting Room 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เวลา 10.00-20.00 น. จากสภาวะเศรษฐกิจขาลงในช่วงที่ผ่านมานั้นก็มีสัญญาณที่ดีสำหรับโอกาสของการ ลงทุนอยู่ด้วย สำหรับทุกท่านที่กำลังมองหาโอกาสในการทำไรในช่วงหุ้นขาลง มีหุ้นเด่นหลายๆตัวที่มีราคาถูกน่าซื้อเก็บไว้เพื่อรอโอกาสหุ้นดีดตัวกลับ หรือสนใจในส่วนของ Gold Futures โอกาสทำกำไรบนราคาทองที่กำลังมาแรงในปีนี้ อีกทั้งพันธบัตร / หุ้นกู้ชั้นดีที่ให้ผลตอบแทนที่ดี รวมถึงกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนหลากหลายเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาบริหาร จัดการ และให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับช่วงดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับตัวลดลง อีก เงินฝากอาจจะไม่ใช้คำตอบอีกต่อไป

งาน นี้เราชวนคุณเปลี่ยนใจ ใช้กองทุนรวม จะเลือกแบบเสี่ยงต่ำ จะเลือกแบบเน้นผลตอบแทน หรือต้องการใช้ลดภาษีก็ได้ เริ่มต้นง่ายๆ แบบใช้เงินน้อย ทยอยออมด้วยกองทุนรวม โดยสามารถมาช๊อปปิ้งได้ในงาน SET in the City Zone @ Money Expo งานนี้พลาดไม่ได้นะครับ

เวิลด์แบงก์ เตือนการเมืองป่วนฉุด “จีดีพี” ปี 52 ติดลบหนัก 4.9%



ธนาคารโลกหั่นเป้า ศก.ไทยปีนี้ “จีดีพี” ติดลบ 2.7% ต่ำสุดในประเทศเพื่อนบ้าน จากเดิมคาดว่า จะโต 2% แนะจับตาหาก ศก.โลกไม่ฟื้น-การเมืองป่วน “จีดีพี” มีโอกาสติดลบถึง 4.9%

น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย เปิดเผยรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย ฉบับแรกในปี 2552 โดยระบุว่า การค้าโลกที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ธนาคารโลกปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 ลงมาอยู่ที่ติดลบร้อยละ 2.7 จากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเติบโตร้อยละ 2 และประเมินว่า หากกรณีเลวร้ายสุด หากเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นตัวและปัญหาการเมืองในประเทศ เศรษฐกิจจะติดลบถึงร้อยละ 4.9

น.ส.กิริฎา กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยถือว่า ติดลบมากที่สุดในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี ที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 4-5 ทุกปี และหากเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2550 ที่เติบโตร้อยละ 4.9 แต่ปีนี้ติดลบถึงร้อยละ 2.7 สะท้อนถึงความแตกต่างที่เศรษฐกิจไทยติดลบถึงร้อยละ 7.6

ทั้งนี้ คาดว่า การส่งออกของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก คาดว่า มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์หดตัวร้อยละ 17 รายได้การท่องเที่ยวก็ปรับลดลงเช่นกัน ขณะที่การลงทุนหดตัวลงร้อยละ 2.1 ซึ่งเป็นผลจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นกับเหตุการณ์การเมือง การบริโภคขยายตัวเพียงร้อยละ 1.4 ส่วนการนำเข้าหดตัวร้อยละ 16.4 ตามภาวะอุปสงค์ในประเทศที่ไม่กระเตื้องขึ้น

สำหรับเม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ธนาคารโลก เห็นว่า มีขนาดปานกลาง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และเห็นว่า รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินมาตรการในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึงร้อยละ 0.5-1.7 ต่อจีดีพี ส่วนแผนการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล 1.56 ล้านล้านบาท หากเบิกจ่ายได้หมดตามแผนที่วางไว้ในระหว่างปี 2553-2555 จะช่วยเพิ่มการลงทุนภาครัฐ คือ ปี 2553 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อจีดีพี ปี 2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อจีดีพี ปี 2555 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1 ต่อจีดีพี อย่างไรก็ตาม หากแผนการลงทุนล่าช้า ผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจจะล่าช้าตามไปด้วย

น.ส.กิริฎา กล่าวด้วยว่า ธนาคารโลกยังเป็นห่วงอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น และเส้นแบ่งความยากจนที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบและคนงานรับเหมาช่วงที่ไม่ได้รับสวัสดิการ ซึ่งแรงงานเหล่านี้มีความเปราะบางมาก และอาจจะไม่กลับเข้าสู่ภาคการเกษตร ดังนั้น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ควรให้ความสำคัญกับแรงงานกลุ่มนี้

อย่างไรก็ตาม ผลจากรายได้การจัดเก็บภาษีที่ลดลงอย่างมาก ทำให้งบประมาณของไทยอยู่ในฐานะการขาดดุลประมาณ 525,000 ล้านบาท รัฐบาลต้องหาแหล่งเงินกู้เพื่อมาสนับสนุนการลงทุนในโครงการพื้นฐาน ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องหาวิธีการลดการขาดดุลงบประมาณลงในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และให้เตรียมรับมือกับกระแสเงินทุนไหลเข้า ซึ่งจะมีผลทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้

“ส่วนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เสนอข่าวไปต่างประเทศจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว แต่หากรุนแรง ถึงขั้นทำให้รัฐบาลไม่มั่นคง จะมีผลต่อเนื่องที่กระทบการลงทุน เพราะจะมีผลถึงนโยบายของรัฐบาล”

อย่างไรก็ตาม นายแมทธิว เวอร์กิส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก ประจำประเทศไทย กล่าวว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเป็นบวกในปี 2553 เหมือนกับเศรษฐกิจโลก และจะขยายตัวถึงร้อยละ 4-5 ในปี 2556

พาณิชย์จัดงาน "มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ" หนุนผู้ประกอบการใหม่

พาณิชย์จัดงาน "มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ" หวังสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ เตรียมน้ำแฟรนไชส์ชั้นนำกว่า 40 ราย เป็นทางเลือกการลงทุน รวมถึงการจัดกิจกรรมให้ความรู้ด้านต่างๆ 1-3 พ.ค.นี้

นายคณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมได้ร่วมกับภาคเอกชนการจัดงาน “มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ” เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ที่ประสบปัญหาการเลิกจ้าง ผู้ว่างงาน และประชาชนทั่วไป ได้มีโอกาสพบธุรกิจแฟรนไชส์จริง เพื่อสร้างโอกาสและลู่ทางในการทำธุรกิจ และเพิ่มช่องทางในการประกอบอาชีพเสริม ตลอดจนเปิดโอกาสการเจรจาธุรกิจระหว่างเจ้าของแฟรนไชส์ และกลุ่มลูกค้าใหม่

โดยภายในงานมีการนำเสนอธุรกิจแฟรนไชส์ระดับแนวหน้า และแฟรนไชส์รายใหม่ที่น่าลงทุน มากกว่า 40 ราย อาทิ แฟรนไชส์ลูกชิ้นหมูพริกกะเหรี่ยง ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ Diary Fresh คังเซน เคนโก ไทยประกันชีวิต สยามเบสคอฟฟี่ เรือนอมรดา แฟรนไชส์โรงงานขยะรีไซเคิลวงษ์พาณิชย์ แฟรนไชส์บ้านลูกชิ้น AIS ระบบเติมเงินมือถือ ตู้เติมเงินมือถือ ADT ทัชวู๊ด แฟรนไชส์ ร้านสารพัดบริการวินเซ็นท์ ตู้เติมเงินมือถือ 3 TOP แฟรนไชส์และศูนย์ฝึกอบรมบาร์เทนเดอร์ ฯลฯ

ทั้งนี้ เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ พร้อมให้ข้อมูลกับผู้ที่สนใจ เลือกช็อปธุรกิจ พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษได้ ระหว่างวันที่ 1–3 พฤษภาคม 2552 ณ ชั้น 1 ห้างเทสโก้โลตัส พลัส ศรีนครินทร์ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมสนุกมากมาย อาทิ ทอล์กโชว์ “เศรษฐกิจไทยแย่ เศรษฐกิจโลกร่วง แล้วคนไทยจะทำอย่างไรให้รวย” พูดคุยเรื่องข้อกฎหมายการทำธุรกิจแฟรนไชส์ที่ควรรู้ แลกเปลี่ยนทัศนคติในการทำธุรกิจกับดารา

นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยากมีงานทำ อยากทำธุรกิจ เพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สามารถเลือกธุรกิจที่สนใจ ใน Rainbow Project ได้ โดยสมัครได้ที่บูธ Rainbow Project รวมทั้งหากมีข้อสงสัยจะเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างไรดี หรือมีปัญหาในการประกอบธุรกิจ บูธ Business Clinic มีคำตอบให้ทุกท่าน

คาดทองคำพุ่งแตะ 1 พันดอลลาร์/ออนซ์ หนุนรายย่อยเทรด



โบรกฯ หนุนไอเดีย TFEX เทรดทองคำสัญญาละ 50 บาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องการลงทุน และให้นักลงทุนรายย่อยได้มีโอกาสในการลงทุนในตลาดที่มีผลตอบแทนสูง และความเสี่ยงที่ต่ำกว่าหุ้น พร้อมคาดแนวโน้มราคาทองคำปีนี้ มีสิทธิ์พุ่งแตะ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์


นายธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ที่ปรึกษาบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก เปิดเผยว่า หากตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย (TFEX) จะลดขนาดซื้อขาย Gold Futures จากทองคำน้ำหนัก 50 บาทต่อสัญญา เหลือ 10 บาทต่อสัญญา ตนเองเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว เนื่องจากจะช่วยเสริมช่องทางให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น แต่ถ้าเป็นกรณีที่ปรับสัญญาการซื้อขายให้เพิ่มมากกว่านี้ ระบุว่าไม่เห็นด้วย เพราะเป็นระดับที่แพงมากเกินไป

นายธนพิศาล กล่าวต่ออีกว่า ราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,000-1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในปีนี้ เพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าช่วงนี้อาจจะมีข่าวดีเรื่องผลประกอบการ ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อคาดว่ายังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ต่ำ อย่างเช่นทองคำมากขึ้น

นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทไม่ปิดกั้นสำหรับแนวทางควบรวมกิจการ ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยกับบริษัทหลักทรัพย์ 2-3 ราย ซึ่งยังไม่มีความลงตัวในด้านธุรกิจ แต่ก็ยอมรับว่าหลังจากเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ และค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันได น่าจะทำให้แนวโน้มของกิจการจะเพิ่มสูงขึ้น โดยการควบรวมกิจการจะต้องเกิดประโยชน์ที่แท้จริง ทั้งกับบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงตัวผู้ถือหุ้น

“มั่นใจว่า ในปีนี้จะมีกำไรได้จากมาร์เก็ตแชร์ในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่เพิ่ม ขึ้น คาดว่าในปีนี้ จะมีบัญชีใหม่จากลูกค้าอีก 300-500 บัญชี และคาดว่า ไตรมาส 2 ปี 2552 จะพลิกเป็นกำไร จากไตรมาสที่ขาดทุน 16 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 2 รายได้จากค่าคอมมิชชันน่าจะเพิ่มขึ้น” นายชนะชัย กล่าวสรุปทิ้งท้าย

การลงทุนตราสารทุนในภาวะความผันผวนสูง

ภาวะการลงทุนในตราสารทุนในปี 2551 คาดว่าจะมีความผันผวนสูงต่อเนื่องมาจากช่วงปลายปี 2550 จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นใจของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และปัญหาสภาพคล่องที่ตึงตัวของสหรัฐฯที่มีผลมาจากเงินกู้ในภาคอสังหาริม ทรัพย์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ จากปัจจัยด้านลบต่างๆ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ใช้นโยบายการลงทุนที่มีความระมัดระวังสูง โดยบริษัทได้ใช้การวิเคราะห์เศรษฐกิจ และหลักทรัพย์ทั้งภายใน และภายนอกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยในการเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีฐานะทางการเงินที่ดี และมีแนวโน้มในการขยายตัวสูง

ในขณะเดียวกันก็มีการกระจายการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะถูกควบคุมโดยระบบป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ที่จะมาช่วยในการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ ภายใต้ภาวะการลงทุนที่มีความผันผวนสูง อย่างไรก็ตาม ภายใต้ปัจจัยกดดันต่างๆ ฝ่ายลงทุนมองเห็นโอกาสในการลงทุนในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนสูง โดยผู้จัดการกองทุนได้ปรับนโยบายการบริหารกองทุนที่ค่อนข้าง Active เพื่อให้สอดคล้องกับความผันผวนของตลาด ซึ่งเป็นกลยุทธการลงทุนที่บริษัทใช้มาตั้งแต่ปี 2550 และได้ผลตอบแทนที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก โดยผลตอบแทนในช่วงปี 2550 สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถึง 19%

กองทุนตราสารทุนที่อยู่ภายใต้การบริหาร และจัดการมีจำนวนหลายกองทุนด้วยกัน ในโอกาสนี้ ขอหยิบยกกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นทุนปันผล ( KTSF) มาแนะนำ เพราะเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนทั่วไป ที่รับความเสี่ยงได้ และมีความสนใจการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ไม่มีเวลาศึกษาหรือ ลงทุนได้ด้วยตนเอง ก็สามารถลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าวได้ โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันจันทร์ เป็นกองทุนที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ในปี 2550 จ่ายปันผลทั้งสิ้น 3 ครั้ง จำนวนรวม 1.50 บาท ผลตอบแทน Year to date ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 อยู่ที่ -1.35% ในขณะที่ SET 50 อยู่ที่ -2.59% นักลงทุนที่สนใจอาจจะหาจังหวะเข้าลงทุน เพราะในปีนี้ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นมีความผันผวนค่อนข้างสูง

แนวโน้มภาวะตลาดตราสารหนี้

ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) รายงานว่า สภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงเดือนผ่านมา ค่อนข้างผันผวนโดยมีทั้งปัจจัยภายนอก และภายในที่เข้ามากระทบ ปัจจัย ภายในจากการที่คณะกรรมการ นโยบายการเงิน( กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย RP 1 วันไว้ที่ 3.25% ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ก่อนที่จะมีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรปรับตัวลดลงทันทีกว่า 20 bp. ในช่วงอายุ 5-10 ปี แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ก.พ. จะออกมาสูงถึง 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับปัจจัยภายนอก จะมุ่งไปที่สภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา แสดงให้เห็นถึงการถดถอยทางเศรษฐกิจ โดยสาเหตุหลักมาจากปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่อด้อยคุณภาพและทำให้ สินทรัพย์ทางการเงินที่เกี่ยวข้อง
เช่น CDO ด้อยค่าลงอย่างมากและกระทบต่อสถาบันการเงินต่างๆ ทำให้สถาบันการเงินจำเป็นต้องทำการเพิ่มทุนและเริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้ สำหรับบริษัทที่ปล่อยกู้ให้แก่สินเชื่อด้อยคุณภาพ และส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Cross Default ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อบริษัทผิดนัดชำระหนี้ (Default) กับเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ และจะทำให้บริษัทเจ้าหนี้ดังกล่าวผิดนัดชำระหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่นๆไปด้วย

แม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะชะลอตัวหรืออาจจะถึงขั้นถดถอยแต่ ราคาน้ำมันก็ไม่ได้ปรับลดลงเนื่องจากกลุ่มโอเปกได้มีมติ ตรึงกำลังการผลิต ความขัดแย้งในโคลัมเบีย และแนวโน้มค่าเงินสหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเรื่อยๆ เนื่องจากคาดการณ์ ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะทำการลดดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ราคาสินค้าต่างๆ ในประเทศก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากราคาต้นทุนที่สูงขึ้น

ดังนั้น คาด ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจจะมีการปรับตัวลดลงได้ไม่มากนักในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่สามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากนัก ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการต่างๆ โดยการใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุล และมีการออกพันธบัตรมากขึ้นเพื่อที่จะชดเชยรายจ่าย ซึ่งทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนปรับตัวชันมากขึ้น

อายุกับการลงทุน

ถาม-หนูทำงานมาประมาณ 2-3ปีเเล้วค่ะ อยากรู้ว่าถ้าอายยังน้อยควรลงทุนในหุ้นมากๆ แต่ถ้าอายุมากเเล้วไม่ควรลงทุนในหุ้น อันนี้จริงหรือเปล่าคะคืออยากลงทั้งหุ้นเเละตราสารหนี้ค่ะ น้องใหม่

ตอบ ตามความเป็นจริงนะครับ การ ลงทุน คือ ทางเลือกในการบริหารเงินออมที่มีอยู่ ให้งอกเงย ตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ ในขอบข่ายของความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ หากเสี่ยงมากก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมาก เสี่ยงน้อยก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อย

ดังนั้นะครับ ก่อนพิจารณาตัดสินใจเลือกลงทุน ผู้ลงทุนต้องถามตัวเองก่อนว่า จะวางเป้าหมายการลงทุนไว้อย่างไร แล้วยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหนซึ่ง ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้นั้นนอกจากนิสัยใจคอ หรือความชอบส่วนตัวแล้ว ก็ยังมี อายุ ภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ ฐานะการเงินในปัจจุบัน ความสามารถในการหารายได้ในอนาคต หรือแม้กระทั่งว่า ณ ตอนนี้เรามีเงินสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเพียงพอแล้วหรือยัง เหล่านี้เป็นต้น

แนวทางการลงทุนแบบกลางๆ โดยอ้างอิงกับสมมติฐานในลักษณะของคนทั่วๆ ไปเกี่ยวกับปัจจัยและข้อจำกัดในการลงทุน ในแต่ละช่วงอายุของคนเรา มีดังต่อไปนี้ (ข้อมูลอ้างอิงจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน)

- อายุ 21-30 ปี เป็นวัยที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน ยังไม่มีภาระต้องรับผิดชอบมากนัก และเป็นวัยที่ยังมีเวลาและมีกำลังในการหารายได้อีกนาน ดังนั้น คนในช่วงวัยนี้จึงสามารถจัดสรรเงินไปลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงได้ เกือบทั้งหมด เพราะอยู่ในวัยที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้มาก และหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็มีเวลามากเพียงพอที่จะเรียนรู้แก้ไขข้อผิดพลาดนั้น โดยอาจจะลงทุนในตราสารทุน เช่น หุ้น กองทุนรวมหุ้น ได้ถึง 90% ส่วนอีก 10% ที่เหลือเก็บไว้ในรูปของเงินฝากและตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้นกู้ หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นต้น

- อายุ 31-40 ปี เป็นวัยที่การงานเริ่มมั่นคง รายได้เพิ่มสูงขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มตามมาเป็นทวีคูณ เพราะ อยู่ในช่วงที่กำลังสร้างครอบครัว แต่งงาน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ เมื่อมีภาระผูกพันที่ต้องรับผิดชอบมากและต่อเนื่อง ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก็ลดน้อยลง การลงทุนของคนในวัยนี้จึงอาจจะต้องลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้นลง จาก 90% ให้เหลือเพียง 50% ของเงินออม แล้วไปเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ให้มากขึ้นในจำนวนที่เท่าๆ กัน

Investment in Black Gold

คอลัมน์ Desire your Live by mutual Fund
โดย ธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทิสโก้ จำกัด


หนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นที่น่าสนใจของผู้ลงทุน นอกจากทองคำซึ่งเวลานี้กำลังทำ New High อยู่นั้น ก็คงหนีไม่พ้น “น้ำมันดิบ” หรือที่บางท่านเรียกว่า “ทองคำสีดำ (Black Gold)” เนื่องจากว่าในอดีตที่ผ่านมาน้ำมันเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วโลก เรียกได้ว่าใครที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมัน ก็เหมือนนั่งทับเหมืองทองคำเอาไว้นั่นเอง

ในปี 2008 ที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งทะยานจากระดับราคาประมาณ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล ในตอนต้นปี เป็น 140 เหรียญต่อบาร์เรลในตอนกลางปี หรือพูดง่ายๆ ว่าราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น กว่า 100% ภายในเวลาเพียง 6 เดือน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดวิกฤติทางการเงินในอเมริกาและยุโรปในตอนไตรมาสที่ 3 ของปี 2008 จนทำให้หลายภูมิภาคของเศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะถดถอย ราคาน้ำมันได้ดำดิ่งลงมาต่ำกว่า 40 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ที่ผ่านมา

จึง มีคำถามว่า ที่ราคาน้ำมันระดับนี้น่าสนใจลงทุนแล้วหรือยัง และเมื่อไรราคาน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นได้อีก ท่ามกลางความหวาดวิตกของการชะลอตัวของเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบัน

แต่ก่อนจะตอบคำถามข้างต้น ผมขอเรียนให้ผู้ลงทุนทราบก่อนว่าอะไรที่เป็นปัจจัย หลักที่จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ซึ่งสามารถสรุปได้ 3 ปัจจัยดังนี้ 1. ปัจจัยพื้นฐาน เรื่องของ อุปทาน อุปสงค์ และ ระดับน้ำมันสำรอง 2.การเก็งกำไรของผู้ลงทุน รวมทั้งกองทุนต่างๆ 3.ความเสี่ยงจากสงคราม

จากทั้ง 3 ปัจจัยข้างต้น คาดว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันการที่ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ น่าจะมาจากปัจจัยที่ 1 มากที่สุด ซึ่งในขาการผลิตหรืออุปทาน (supply) นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดที่สามารถกำหนดอุปทานของน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ กลุ่มโอเปค และมีต้นทุนการผลิตน้ำมันค่อนข้างสูงกว่าประเทศนอกกลุ่มโอเปค เริ่มประกาศที่จะลดกำลังการผลิตลงเหลือต่ำกว่า 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคาดว่าด้านอุปทานจะลดลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2009

กลับกันด้านการบริโภคน้ำมันนั้น จริงอยู่ว่าการที่จีนและหลายประเทศทั่วโลกลดการบริโภคน้ำมันมาตั้งแต่ไตรมาส ที่ 4 เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่นักวิเคราะห์ก็มองว่าปี 2010 นั้นเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะ จีนและเอเชียจะกลับมา เติบโตได้ในระดับสูงกว่าปี 2009 มาก ซึ่งนั่นหมายความความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มกระเตื้องขึ้น ซึ่งแม้ว่าการเพิ่มของอุปlสงค์จะยังไม่รวดเร็วมากแต่หากอุปทานชะลอตามที่ได้ กล่าวไว้ในเบื้องต้น ปริมาณน้ำมันสำรองที่ลดต่ำลงก็ย่อมทำให้ราคาน้ำมันเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นได้

ดัง นั้นการที่ราคาน้ำมันหล่นจากจุดสูงสุดที่ 140 เหรียญต่อบาร์เรลลงมาอยู่ที่ 40 เหรียญต่อบาร์เรลโดยประมาณ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากว่า 71% ประกอบกับเชื่อว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันคงต้องการลดการผลิตหากราคาน้ำมันใน ตลาดโลกเริ่มต่ำกว่าต้นทุนในการผลิตอย่างแน่นอน ก็ต้องตอบว่าที่ราคาน้ำมัน ณ ระดับประมาณนี้ก็น่าสนใจลงทุนเหมือนกัน

ส่วนท่านที่สนใจจะลงทุนในน้ำมันดิบในตลาดโลก ก็มีทางเลือกที่น่าสนใจเอาไว้ให้ คือ ลงทุนในน้ำมันกองทุนน้ำมันได้ทุกวันทำการ ซึ่งค่อนข้างสะดวกสบายและ น่าจะมีส่วนช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนไม่มากก็น้อย เพราะกองทุนนี้ไม่ซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นใดจึงมองหรือคาดการณ์กันได้ไม่ ยากด้วยเหตุและผลที่กล่าวมา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน