รู้จัก "REITs"

รู้จัก "REITs"

โดยฝ่ายส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ บลจ.ธนชาต

หากท่านได้ติดตามข่าวสารของแวดวงกองทุนรวมก่อนหน้านี้ คงทราบกันแล้วว่าปัจจุบัน หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการเพื่อให้กองทุนรวมสามารถลงทุนในกองทุน รวมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ (REITs) ได้อย่างยืดหยุ่นขึ้น เช่น ในอนาคตอาจจะสามารถลงทุนได้เต็มจำนวน 100% จากปัจจุบันที่อนุญาตให้สามารถลงทุนได้เพียง 15% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเท่านั้น

คำถามต่อมาที่หลายคนคงอยากทราบนะคะว่า REITs ที่กล่าวถึงกันนี้ คืออะไร

REITs หรือ Real Estate Investment Trusts โดยทั่วไปจัดตั้งขึ้นโดยมีกฎหมายพิเศษ เช่น ในสหรัฐ จัดตั้งขึ้นภายใต้ Real Estate Investment Trust Act of 1960 เพื่อให้ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โครงการใหญ่ ๆ หรือ Large scale commercial properties ได้ โดยเป็นการลงทุนในลักษณะของ Equity โดยหลักการกระจายผลประโยชน์ เหมือนกับการลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วไปค่ะ นั่นคือ ผู้ถือหุ้นของ REITs จะได้รับผลประโยชน์ที่ได้มาจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของ REITs ตามสัดส่วนการถือหุ้นใน REITs ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นของ REITs จะได้รับประโยชน์เหนือกว่าการลงทุนโดยตรงในอสังหาริมทรัพย์เพียงแห่งเดียว เพราะมีการกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชนิดต่าง ๆ และมีผู้ชำนาญด้าน Real Estate เป็นผู้บริหารจัดการ REITs ให้ โดยหุ้นของ REITs สามารถจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของต่างประเทศได้

ในสหรัฐ มี REITs กว่า 250 REITs ที่จดทะเบียนกับ The Securities and Exchange Commission และเป็น Listed REITs ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลักของประเทศ โดยส่วนใหญ่ซื้อขายใน The New York Stock Exchange มูลค่าตลาดกว่า 395 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

REITs ในสหรัฐ อาจอยู่ในรูป Company ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเหนือกว่าบริษัท Real Estate ทั่วไป เช่น หากนำรายได้ส่วนใหญ่ เช่น 90% ที่ได้จากอสังหาริมทรัพย์นั้นจ่ายเป็นเงินปันผลให้ Shareholder REITs นั้นไม่ต้องนำรายได้ส่วนนี้ไปเสียภาษี เป็นต้น

ตาม Real Estate Investment Trust Act of 1960, Sec. 856 Definition of real estate investment trust กำหนดว่า REITs จะจัดตั้งขึ้นได้ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้ ซึ่งแตกต่างจากบริษัททั่วไป เช่น

1. ต้องจัดตั้งในรูปของ Corporation, Trust หรือ Association

2. เป็น Taxable Corporation เว้นแต่จะได้รับยกเว้นตามกฎหมายนี้

3. บริหารจัดการ REITs ในระบบของคณะกรรมการ หรือ Trustee

4. Shares ของ REITs ต้องสามารถโอนเปลี่ยนมือได้

5. ต้องมี Shareholders อย่างต่ำ 100 ราย

6. ห้ามผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (ภายใน 5 อันดับแรก) ถือหุ้นเกินกว่า 50%

7. ต้องลงทุนอย่างน้อย 75% ใน Real Estate

8. รายได้ของ REITs อย่างน้อย 75% ต้องมาจากค่าเช่าหรือผลประโยชน์จาก Real Estate

9. REITs จะต้องจ่ายเงินปันผลให้กับ Shareholders อย่างต่ำ 90% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี (taxable income) จึงจะสามารถนำเงินปันผลจ่ายนี้ ไปหักออกจากรายได้ที่ต้องเสียภาษีได้

ในปี 2006 มี REITs ทั่วโลกทั้งหมดกว่า 480 REITs คิดเป็นมูลค่าตลาดโดยรวมกว่า 600 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในปัจจุบันตลาดของ REITs ได้แผ่ขยายไปยังหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น แคนาดา เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น

คงต้องรอกันอีกซักพัก ช่องทางการลงทุนนี้ คงได้มีโอกาสมาพบกับผู้ลงทุนไทยค่ะ



BangkokBizNews

5 เหตุผล ทำตลาดเกิดใหม่ "หอม"

“กลุ่มตลาดเกิดใหม่โลก” หรือ “Global Emerging Market : GEM” เป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับการจับตาจากโลกมากที่สุดในปัจจุบัน ไม่เฉพาะจำนวนประชากรที่มีรวมกันประมาณ 3.9 พันล้านคนเท่านั้น แต่เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าตลาด อื่นในโลกอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็นตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (Emerging Asia) ตลาดเกิดใหม่ในละตินอเมริกา (Emerging Latin) หรือตลาดเกิดใหม่ในยุโรปตะวันออก (Emerging Eastern Europe)

ล้วนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของเศรษฐกิจที่สูง ซึ่งถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของกลุ่มตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ ยุโรป หรือ ญี่ปุ่น

จึงไม่น่าแปลกใจที่การลงทุนในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่โลกนี้ จัดเป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุนที่อยู่ในกระแสการลงทุนหลักของโลกในช่วง 3-5 ปีข้างหน้านี้

ทำไมกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกจึงมีความน่าสนใจ Fundamentals สัปดาห์นี้ได้รวบรวมเอา 5 เหตุผลที่น่าสนใจมานำเสนอ

................................................

ดุลบัญชีเดินสะพัดแกร่ง-บริษัทบริหารดี

ด้วยความมีเสน่ห์ของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่โลกนี้เอง จึงทำให้มี บลจ.หลายแห่งได้นำเสนอกองทุนที่ไปลงทุนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นหรือตลาดตราสารหนี้ก็ตาม วันนี้เราลองมาฟังทรรศนะจากผู้รู้ ถึงเหตุผลที่ทำให้กลุ่มตลาดเกิดใหม่มีความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก

@ ตลาดเกิดใหม่จีดีพีแกร่ง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ "มร.คริสโตเฟอร์ หว่อง" ผู้จัดการฝ่ายการลงทุน อเบอร์ดีน แอสเซท เมเนเจอร์ส เอเชีย ลิมิเต็ด บอกว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วทั้ง 7 (G-7) ปี 2007 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.3% และคาดว่าในปี 2008 จะลดลงเหลือ 1.6% เช่นเดียวกับเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน จากที่เคยขยายตัว 5.2% ในปี 2007 จะลดลงเหลือ 4.8% ในปี 2008

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่คาดว่าจะขยายตัวในระดับที่สูงต่อเนื่องจากปี 2007 อยู่ที่ 8.3% จะลดลงเล็กน้อยเหลือ 7.9% ในปี 2008 แต่ยังถือว่าเป็นการเติบโตในระดับที่สูงและแข็งแกร่งอยู่ ถึงแม้ว่าช่วงนี้เกิดความไม่แน่นอนในโลกขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว โดยการเติบโตของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและละตินอเมริกาเป็นหลัก ในเอเชียจีนและอินเดียยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตที่สำคัญ ในขณะที่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาคในอเมริกาใต้สร้างโอกาสในการลงทุน ให้ภูมิภาคนี้

“ในช่วง 3-5 ปี ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่า 20% ต่อปี เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงกลุ่มประเทศเหล่านี้ย่อมได้รับผลกระทบบ้าง ซึ่งการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนอาจจะปรับตัวลดลงจากต้นทุนที่แพงขึ้น แต่ตัวเลขการเติบโตของกำไรก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะเป็นตัวเลข เพียงหลักเดียวก็ตาม ในจังหวะนี้การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมา จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่บริษัทเหล่านี้จะได้มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงการ บริหารให้เข้ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถึงจุดนั้นเมื่อการบริหารเริ่มนิ่งเราจะเห็นการเติบโตของกำไรที่ดีขึ้น ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อราคาหุ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในอนาคตอย่างแน่นอน”

@ ถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง

การเติบโตของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังถูกประเมินไว้ต่ำกว่าความเป็นจริง ถ้าดูถึงขนาดของเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของเศรษฐกิจโลก แต่เมื่อมองในมิติของตลาดหุ้นแล้วกลุ่มตลาดเกิดใหม่คิดเป็นสัดส่วนเพียง 8% ของดัชนี MSCI AC World เท่านั้น ซึ่งในอนาคตมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอีกมาก เพราะสัดส่วนของตลาดหุ้นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังไม่สะท้อนถึงขนาดเศรษฐกิจ ที่มีอยู่จริง อีกทั้งระดับราคาหุ้นก็ถูกประเมินไว้ต่ำกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ สัดส่วนหุ้นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในดัชนี MSCI AC World ในปัจจุบันยังเป็นภาพที่สะท้อนถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วแต่ไม่ได้แสดงถึงแนวโน้ม ในอนาคตของหุ้นตลาดเกิดใหม่แต่ประการใด

“ถ้ามองจากขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในโลกแล้ว โอกาสที่ตลาดหุ้นของกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะเติบโตขึ้นเพื่อมีสัดส่วนที่เหมาะ สมในดัชนี MSCI AC World ยังมีอยู่อีกมากทีเดียว”

@ ดุลบัญชีเดินสะพัดแกร่ง

มร.คริสโตเฟอร์ หว่อง ยังบอกอีกว่า เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กลุ่มตลาดเกิดใหม่โลกมีความน่าสนใจจากการปฏิรูป มานานนับสิบปีภายหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจทำให้รัฐบาลมีการควบคุมงบประมาณ การเงินการคลังของประเทศก่อให้เกิดดุลการค้าและสถาบันการเงินที่มีความแข็ง แกร่ง จนส่งผลให้ปัจจุบันกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกอยู่ในสถานะที่เกินดุลสุทธิใน ทุกทาง

หากเปรียบเทียบดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐเทียบกับกลุ่มตลาดเกิด ใหม่ จะพบว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่มีแนวโน้มการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สหรัฐเองมีแนวโน้มที่จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มตลาดเกิดใหม่ในปัจจุบันจึงเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตเมื่อสิบปีก่อนมาจาก ประเทศผู้กู้มาเป็นผู้ให้กู้ มีรัฐบาลที่มั่นคง มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ มีปัจจัยด้านต้นทุนที่ต่ำ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่น่าสนใจต่อการลงทุนและนำไปสู่วงจรแห่งการเติบโต โดยมีความมั่งคั่งและการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวขึ้น ส่งผลให้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น พร้อมทั้งมีความยั่งยืนและสมดุลมากขึ้นด้วย

ประกอบกับมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ อย่างต่อเนื่อง จากปี 2006 ที่มีเม็ดเงินไหลเข้า 22,384.70 ล้านดอลลาร์ ได้เพิ่มขึ้นเป็น 40,818.80 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะยังคงไหลมาในตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่องในปี 2008 นี้ แม้ว่าตัวเลขอาจจะลดลงบ้างเล็กน้อยก็ตาม

กระแสเงินไหล (Fund Flow) ที่ไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่นั้น มีแนวคิด 2 ด้าน หนึ่งมองว่ากระแสเงินไหลเข้าเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2003 แล้ว ดังนั้น นักลงทุนกลุ่มหนึ่งก็จะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ไปพอสมควรแล้ว เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสหรัฐหรือยุโรปจากเรื่องซับไพร์ม ซึ่งทำให้เขามีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อเข้าไปแก้ไขปัญหา เงินลงทุนบางส่วนก็จะถูกขายทำกำไรออกมา แต่ก็เป็นการขายทำกำไรเพื่อนำเงินลงทุนกลับไปมากกว่า เพราะเขามีต้นทุนการลงทุนที่ค่อนข้างต่ำ นี่อาจจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนที่จะไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ไปบ้าง แต่นักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งก็ต้องมองหาโอกาสการลงทุนอยู่ เช่น นักลงทุนจากตะวันออกกลางที่มีความมั่งคั่งขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น เมื่อไม่รู้ว่าจะไปลงทุนที่ไหนโอกาสหนึ่งที่เขาจะเข้ามาลงทุนก็คือกลุ่มตลาด เกิดใหม่ ซึ่งจะทำให้แนวโน้มของเงินทุนไหลเข้าในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในระยะยาวยังคง เป็นบวกอยู่ ส่งผลให้เงินทุนสำรองของกลุ่มตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นความ แข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่มีอยู่

นอกจากนี้ สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้มีการปรับขึ้นอันดับเครดิตภาครัฐในกลุ่ม ตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่องทำให้เครดิตรัฐบาลกลุ่มตลาดเกิดใหม่ปรับตัวดี ขึ้นตามลำดับ ส่งผลให้ต้นทุนของเงินทุนต่ำลง ช่วยกระตุ้นการลงทุนได้ดีขึ้นกว่าเดิม ในปัจจุบันกลุ่มตลาดเกิดใหม่เป็นทั้งผู้รับเงินทุนและผู้จัดหาเงินทุนให้โลก ผ่านกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Severeign Wealth Fund : SWF)

@ บริษัทมีการบริหารที่ดี

ไม่เพียงเท่านี้ มร.คริสโตเฟอร์ หว่อง ยังมองว่าบริษัทในกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีระบบบริหารจัดการที่ดีทำให้บริษัท สร้างเงินสดได้เพิ่มขึ้น โดยมีกระแสเงินสด (Free cash flow) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมาและสามารถนำไปชำระหนี้ได้ และยังมีเงินสดเหลือหลังจากที่จ่ายหนี้ไปแล้ว จนส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้เงินทุนอย่างชาญฉลาดนั่นเอง โดยกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมีแนวโน้มของอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิลดลงใน ทุกภูมิภาค อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียที่ระดับ 15.6% ในปี 2007 จะลดลงเหลือ 11.1% และ 6.0% ในปี 2008 และ 2009 ตามลำดับ เช่นเดียวกับตลาดเกิดใหม่ในยุโรปตะวันออกที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิ ในปี 2007 อยู่ที่ 16.9% จะลดลงเหลือ 14.0% และ 9.8% ในปี 2008 และ 2009 ตามลำดับ

ด้านตลาดเกิดใหม่ในอเมริกาใต้และอเมริกากลางที่มีอัตราส่วนหนี้สิน ต่อทุนสุทธิในปี 2007 อยู่ที่ 40.2% จะลดลงเหลือ 32.7% และ 34.0% ในปี 2008 และ ปี 2009 ตามลำดับ ส่วนตลาดเกิดใหม่ในแอฟริกาที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิในปี 2007 อยู่ที่ 28.9% จะลดลงเหลือ 21.1% และ 12.2% ในปี 2008 และ ปี 2009 ตามลำดับ ในขณะที่ตลาดเกิดใหม่ในตะวันออกกลางที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิในปี 2007 อยู่ที่ 214.6% จะลดลงเหลือ 172.5% และ 181.2% ในปี 2008 และ ปี 2009 ตามลำดับ

นอกจากนี้ ทรัพย์สินของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังมีความหลากหลายมาก ในขณะที่หลายประเทศส่งออกสินค้าไปยังตลาดเดียวกันและเป็นคู่แข่งกันเอง แต่อีกหลายประเทศที่มีความหลากหลายของประเภทธุรกิจกลับไม่มีผลกระทบต่อกัน เช่น ปัจจัยลบต่อธนาคารแห่งหนึ่งในเม็กซิโก กลับมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อธุรกิจอื่นในประเทศอื่น เช่น แทบไม่มีผลต่อซูเปอร์มาร์เก็ตในแอฟริกาใต้ หรือบริษัทเหมืองแร่ในรัสเซีย

“การที่ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ปรับ ตัวลงในช่วงที่ผ่านมา จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะเข้าไปลงทุน ถ้ามองจากพื้นฐานราคาที่ปรับตัวลงมาทำให้ความเสี่ยงลดลง เมื่อเทียบกับโอกาสในการเติบโตในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าต่อจากนี้ จึงเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้าไปลงทุน"

@ มูลค่าสมเหตุสมผล

กลุ่มตลาดเกิดใหม่ในแต่ละภูมิภาคเปิดโอกาสให้ลงทุนในหุ้นดีที่มี มากกว่า 800 หุ้น มีสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เฉลี่ย 14-15 เท่า มีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่สูง 17-25% ด้าน "อลัน แคม" กรรมการผู้จัดการ บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกยังมีความน่าสนใจแล้วแต่ว่าผู้ลงทุนชอบ ภูมิภาคใด ในส่วนของตลาดเกิดใหม่ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกน่าสนใจไม่แพ้ภูมิภาคอื่น เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงจากผลกระทบของปัญหาซับไพร์ม เห็นได้จากสัดส่วนราคาต่ำกำไรสุทธิ (P/E) ของหุ้นในกลุ่มประเทศดังกล่าวขยับลงมาอยู่ที่ระดับ 6-8 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าไปลงทุนในระยะยาว

ทั้งนี้กลุ่มตลาดเกิดใหม่หลายประเทศไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะ เศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐอเมริกามากนัก เพราะเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่มีความแข็งแกร่งและขับเคลื่อนจากการบริโภคและ การลงทุนในประเทศมากขึ้น กลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกมีประชากรรวมกันกว่า 3,900 ล้านคน มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศรวมกัน 2 ล้านล้านดอลลาร์ มีจีดีพีรวมกันประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์

“นอกจากนี้ กลุ่มประเทศเหล่านี้ลดการพึ่งพาเศรษฐกิจสหรัฐลงตามลำดับ เช่น จีนที่มีอัตราการส่งออกไปสหรัฐเพียง 22% อินเดียส่งออกไปสหรัฐ 30% ไทยเองที่เคยมีสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐสูงถึง 80% ในปี 1998 ปัจจุบันลดลงเหลือ 26% เท่านั้น โดยกลุ่มตลาดเกิดใหม่มีการส่งออกไปกลุ่มประเทศยุโรป และประเทศเอเชียด้วยกันมากขึ้น นี่จึงทำให้ตลาดเกิดใหม่ในโลกยังมีความน่าสนใจ”

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลหลักทั้ง 5 ประการ ที่ทำให้ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่โลกมีความน่าสนใจในมุมมองของนักลงทุนทั่วโลก



BangkokBizNews

พลิกกลยุทธ์คัดหุ้นเด่นปี 52

พลิกกลยุทธ์คัดหุ้นเด่นปี 52
"BANPU-ADVANC"มาแรง
ที่มา ทันหุ้น

" ดัชนีหุ้นไทยในปี 2552 วิ่ง 380-530 จุด พอร์ตการลงทุนในเดือนม.ค. 2552 ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งในระยะยาว อาทิ หุ้น KBANK / BANPU และ PTT รวมถึงหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง อาทิ ADVANC / QH และ SPALI "

SCRI ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในปี 2552 ในช่วง 380-530 จุด : คาดว่าในช่วงครึ่งปีแรก เดือน ม.ค. จะเป็นเดือนที่ดัชนีมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้มากที่สุด (January effect ) เนื่องจากจะเป็นเดือนที่มีการแถลงนโยบายและเริ่มบังคับใช้มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจต่างๆ จากทั้งรัฐบาลไทย และ รัฐบาลสหรัฐฯ (โดย นาย บารัค โอบามา จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. 2552) เชื่อว่าจะส่งผลบวกในเชิงจิตวิทยาที่ดีต่อตลาดหุ้น อย่างไรก็ดี SCRI ประเมินการปรับเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ของตลาดหุ้น จะยังคงเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในภาวะตลาดหมี หรือ Bear rally เท่านั้น และเมื่อผ่านเดือน ม.ค. ไปแล้วโอกาสที่ดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ เชื่อว่าจะรายงานออกมาในเชิงลบค่อนข้างมาก โดยเชื่อว่าจะถึงจุดต่ำสุดในช่วง Q2/52

* ในปี 2552 SCRI แนะนำ ลงทุนในกลุ่มที่มีความผันผวนของรายได้ไม่มาก ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เช่น กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มโรงพยาบาล และ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ต้นน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ราคามีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นก่อนหากเศรษฐกิจฟื้นตัว (BANPU / PTTEP / PTT) อย่างไรก็ดี แนะนำ หลีกเลี่ยงการลงทุน ในหุ้น กลุ่มยานยนต์ และโรงกลั่น และให้ เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน "หุ้น" เป็น 40% ส่วน "ทองคำ" ให้ลดการเก็งกำไร โดยอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในปี 2552 ได้แก่ สื่อและสิ่งพิมพ์, รับเหมาก่อสร้าง, โรงกลั่น ท่องเที่ยว, เหล็ก และ สินค้าเกษตร

* หุ้นแนะนำประจำปี 2552 ได้แก่ BANPU / ADVANC / CPN / CK / TSTH

* พอร์ตการลงทุนเดือนม.ค. 2552 SCRI แนะนำ ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และหุ้นปันผลเพื่อรองรับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจในปี 2552 : SCRI ประเมินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก อาทิ การออกแผนกระตุ้นการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคของประเทศต่างๆ รวมกว่า 5.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ การเพิ่มสภาพคล่องสู่ระบบของธนาคารกลางทั่วโลกและรวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ย ของธนาคารกลางทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นเริ่มคลายความกังวลและสามารถปรับตัวขึ้นได้ในระยะอันใกล้ ดังเห็นได้จากดัชนี VIX Index ที่ปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 52.37 จุด จากจุดสูงสุดที่ระดับ 80 จุด

ดังนั้น พอร์ตการลงทุนในเดือนม.ค. 2552 SCRI ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งในระยะยาว อาทิ หุ้น KBANK / BANPU และ PTT รวมถึงหุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง อาทิ ADVANC / QH และ SPALI นอกจากนี้ ยังแนะนำ CPN และ BGH ที่คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2552 จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระดับต่ำ

ทั้งนี้ SCRI ได้ปรับหุ้น LH และ TIPCO ออกจากพอร์ต เนื่องจากราคาหุ้น LH และ TIPCO ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก อีกทั้ง 2 บริษัทยังมีความเสี่ยงจากอุปสงค์การซื้อบ้านและกำลังซื้อที่ยังอยู่ในระดับ ต่ำในช่วง 1H/52 และเลือกหุ้น STEC และ TSTH กลับเข้ามาในพอร์ตการลงทุน เนื่องจากคาดแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านการก่อสร้างโครงการ สาธารณูปโภคขนาดใหญ่จะทำให้งานในมือและอุปสงค์การใช้เหล็กกลับมาขยายตัวอีก ครั้ง

สำหรับรายละเอียดของพอร์ตการลงทุนในเดือนม.ค. 2552 แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้

หุ้น Big Cap: ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside จากมูลค่าเหมาะสมปี 2552 ในระดับสูง อีกทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานยังเติบโตแข็งแกร่ง แนะนำ ลงทุน KBANK ADVANC และ PTT
หุ้น Commodity: อุปสงค์การใช้ถ่านหินในระยะยาวยังเติบโต ผลักดันให้กำไรสุทธิของ BANPU ให้ยังเติบโตอย่างมั่นคง

หุ้น Consumer Play: แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2551 ที่เติบโตโดดเด่น ทำให้ QH สามารถจ่ายปันผลได้บสูงกว่า 8% ขณะที่การผ่อนปรนมาตรการภาษีอีก 1 ปี ช่วยเสริมกำไรปี 2552 ให้ทรงตัวอยู่ในระดับเหมาะสม

หุ้น Dividend Play: SPALI เป็นหุ้นปันผลที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงทีสุดเท่ากับ 17% ต่อปีเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และมี Backlog ที่แข็งแกร่ง หนุนกำไรในอนาคตเติบโตมั่นคง

หุ้น Growth Stock: ได้รับผลกระทบในวงจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัว เนื่องจาก BGH และ CPN มีการขยายการลงทุนสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในอนาคตยังขยายตัวโดดเด่น



Thunhoon

ตลาดหุ้นแกว่งตัวสูงน้ำมันโลกฟื้น(SET INDEX)

โบรกมองตลาดหุ้นความผันผวนขึ้นหลังทิศทางราคาน้ำมัน ตลาดโลกวิ่งทะยานต่อ ชี้หุ้นไทยได้รับอนิสงส์จากตลาดหุ้นภูมิภาคเอเซียที่ฟื้นตัว ส่งผล SET50 แก่วงตัวในวันสูง ระวังแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นแถว 410-420 จุด ถือ “Long” ไว้ให้ทยอยปิดสถานะบริเวณแนวต้าน 410 ส่วนคนที่ไม่มีสถานะแนะรอเปิด Long ใหม่ที่แนวรับ 385 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประเมินแนวโน้ม SET50 Index ว่า หุ้นกลุ่มพลังงานยังโดดเด่นแต่ต้องระมัดระวังตลาดหุ้นไทยได้รับแรงหนุนจาก ทิศทางการเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ที่ยังสามารถเดินหน้าต่อได้ โดยเฉพาะ หุ้นกลุ่ม PTT อันได้แก่ PTT, PTTEP, PTTAR,TOP, รวมถึง BANPU ส่งผลให้ SET50 INDEX มีลักษณะแก่วงตัวในวันสูง ขณะที่คาดว่าจะมีแรงเทขายทำกำไรระยะสั้นบริเวณแนวต้านจิตวิทยา 410-420 จุด โดยนักลงทุนเริ่มหันไปเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามใน สัปดาห์นี้ คือสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวต่อเนื่อง ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากขึ้น จากทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก คาดสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับอิทธิพลเชิงบวกจาก ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียที่ฟื้นตัวตามตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นอินเดีย

ขณะ ที่แรงหนุนเชิงบวกในหุ้นกลุ่มพลังงานยังเดินหน้าต่อเนื่อง เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่แนวโน้มขาขึ้น ในสัปดาห์นี้หากราคาน้ำมันสามารถยืนรักษาระดับไว้ที่ 58-60 ดอลลาร์ได้ จะช่วยสนับสนุนแนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสขึ้นสู่ระดับ 70 ดอลลาร์ได้ ล่าสุดราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ตลาดกรุงลอนดอน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.67 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 2.83% ปิดที่ระดับ 60.59 ดอลลาร์

สำหรับความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกยังมีแนวโน้ม สดใสส่งผลให้ดัชนีค่าระวางเรือ (Baltic Dry Index) ปรับตัวขึ้น 21 จุด โดยสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ของปี 52 ที่ระดับ 2,665 จุด และคาดว่าจะสามารถขึ้นทดสอบระดับ 3,000 จุดได้ อาจจะส่งผลบวกต่อการเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มเดินเรือ TTA และ PSL

คาดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำส่งผลดีระยะกลางต่อตลาดหุ้น

ล่า สุดการประชุมของคณะกรรมการการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม คือ 1.25% เนื่องจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นโลกสร้างความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะผ่านจุดต่ำสุด ไปได้ในครึ่งปีแรก และมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังทำให้ความจำเป็นในการลดอัตราดอกเบี้ยฯ น้อยลง แสดงถึงสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ปรับลดลงมาใกล้ระดับต่ำสุดแล้ว คาดหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางตรงจากนโยบายภาครัฐ ทั้งการบริโภคภายใน (CPALL, BIGC) และ หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจากโครงการ Mega Projects ทั้ง CK, ITD, STEC มีโอกาสปรับตัวขึ้น

กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้

นักลง ทุนระยะสั้นที่มีกำไรจากสถานะ “Long” ให้ทยอยปิดสถานะด้วยคำสั่ง “Short” บริเวณแนวต้าน 410 เพื่อทำกำไร สำหรับผู้ที่ไม่มีสถานะใดแนะนำให้รอเปิดสถานะใหม่ด้วยคำสั่ง “Long” ที่บริเวณแนวรับ 385 จุด ให้นักลงทุนเลือกลงทุนในสัญญาส่งมอบเดือนมิถุนายน 2009 (S50M09) เนื่องจากมีสภาพคล่องและสถานะคงค้างที่สูง ส่วนนักลงทุนระยะกลาง รอเปิดสถานะ “Short” เพิ่มที่แนวต้าน 410-420 จุด

แนวรับแนวต้านรายสัปดาห์

ภาพ รวม SET50 INDEX ระยะสั้นอ่อนตัวตัวตามปัจจัยการเมือง ระยะกลางเปิดสถานะ “Short” ตามแนวต้าน 410-420 จุด แนวต้านสัปดาห์นี้อยู่ที่ 400 จุด เหมาะสำหรับการเปิดสัญญา “Short” โดยตั้งจุดตัดขาดทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ 430 จุด ด้วยคำสั่ง “Long”


Thunhoon

เศรษฐกิจไทยมีโอกาส ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ตามทิศทางดอกเบี้ย

ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะมานำเสนอในสัปดาห์นี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจไทย

โดยวานนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ได้รายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2552 ของไทยลดลง 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2551 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ และถือว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจาก GDP ติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส โดยไตรมาส 4/2551 นั้น GDP ของไทยลดลงลบ 6.1%

คำถามสำคัญ คือ เศรษฐกิจไทยผ่านจุดที่แย่ที่สุดหรือยัง

ในความเห็นของผมประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสลดลงต่ำสุดแล้ว จากตัวเลข GDP ไตรมาส 1/2552 ที่ติดลบ 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ในไตรมาส 2-4 จะฟื้นตัวขึ้นเป็นลบ 6.8% ลบ 4.5% และ 1.5% ตามลำดับ ซึ่งถือว่าเป็นการประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าการคาดการณ์ เดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจจะลดลงต่ำสุดในไตรมาส 2/2552 ในแง่การเปรียบเทียบแบบไตรมาสเทียบไตรมาสก็คาดว่าในไตรมาส 2/2552 GDP ของไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวในด้านบวกได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจสามารถหลุดพ้นภาวะถดถอยได้

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในการประเมินทิศทางเศรษฐกิจนั้นคงไม่เต็ม 100% ทั้งนี้เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องการบริโภค และการลงทุนของทั้งภาครัฐบาลและเอกชนที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ โดยเฉพาะภาครัฐบาลที่ในปัจจุบันกำลังประสบกับปัญหาการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำ เป้า อาจส่งผลให้การใช้จ่ายและลงทุนล่าช้า สำหรับในด้านที่คาดว่าจะฟื้นตัว คือ การบริโภคของเอกชน ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการอัดฉีดเงิน 2,000 บาท ที่เริ่มต้นในเดือนเม.ย. ซึ่งคงต้องรอดูผลว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากแค่ไหน เนื่องจากในช่วงดังกล่าวเกิดความรุนแรงทางการเมืองเพิ่มขึ้น ประเด็นต่อมาคือ การผลิตด้านอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากคำสั่งซื้อมีการฟื้นตัว

สาเหตุที่ GDP ไตรมาส 1/2552 ต่ำกว่าคาดการณ์

หลังจากผมศึกษาดูรายละเอียดของภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2552 แล้วพบว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจลดลงมากกว่าคาดการณ์ คือ รายจ่ายเพื่ออุปโภคและบริโภคของรัฐบาลที่ขยายตัว ต่ำกว่าคาดการณ์ และการลงทุนของภาครัฐบาลที่ลดลงสวนทางกับ ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นเป็นผลจากการลดลงของมูลค่าสินค้าคงเหลือ ประเด็นที่อยากจะตั้งเป็นข้อสังเกตอีกครั้ง คือ บทบาทของรัฐบาลในการช่วยพยุงเศรษฐกิจดูเหมือนจะขาดประสิทธิภาพในไตรมาส 1/2552 ดังนั้นจึงประเมินว่าเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจ

สัปดาห์หน้าผมจะมาเจาะลึกในประเด็นเรื่องเงินเฟ้อซึ่งบางท่านอาจจะ ลืมไปแล้ว แต่บางท่านยังคงเข็ดไม่หายกับราคาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ทั้งนี้ผมประเมินว่าเงินเฟ้อจะเป็นความเสี่ยงใหม่ต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นเหตุผลเบื้องหลังเหตุผลหนึ่งที่ส่งผลให้ธปท. ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งที่ผ่านมา

ยิ่งสูง....ยิ่งสู้ แม้ว่าเสียว ๆ ก็ตาม ?

ทิศทางการลงทุน ในตลาดหุ้นไทยระยะสั้นดัชนีหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อไป เนื่องจากดัชนียังคงสามารถทำจุดสูงใหม่ได้บริเวณ เหนือแนวต้านทางด้านจิตวิทยาบริเวณ 550 จุดทำให้เป้าหมายระยะสั้นยังเป็นเป้าหมายที่ถูกขยายออกไปด้วยเหตุผลของสภาพ คล่องในการลงทุนระยะสั้นยังสูง ทั้งนี้เพราะไม่มีใครรู้ว่าดัชนีจะปรับฐานราคาเมื่อไหร่ เพราะสัญญาณยังไม่ชัดเจน แต่นักลงทุนก็มีความพร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุน โดยมีการย้ายตัวเล่น และใช้กลยุทธ์ในการติดตามแนวโน้มตลาดอย่างใกล้ชิด ขณะที่ในทางกลับกันนักลงทุนก็ระมัดระวังและพร้อมที่จะขายหุ้นหนี หากบรรยากาศไม่เป็นใจหรือผิดทิศผิดทาง

กรอบการเคลื่อนไหวของ ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ระยะสั้นยังแกว่งตัวในกรอบ 540/530 - 580/600 จุด โดยระยะสั้นคาดว่าความผันผวนของดัชนีจะเริ่มมากขึ้นตามระดับราคาหุ้นที่สูง ขึ้นเช่นกัน และที่สำคัญคือ ดัชนีสูงสุดใหม่นั้น พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นจุดสูงสุดของรอบได้เสมอ เพราะเป้าหมายที่เปลี่ยนไปเนื่องจากประมาณการที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ในภาคปฏิบัติดัชนีอาจจะไม่ถึงเป้าหมายตามที่คาดการณ์ หรือต่ำกว่าเป้าหมาย หรือสูงกว่าเป้าหมายนั้นเป็นไปได้เสมอ แต่สิ่งที่สำคัญคือ หากการเปลี่ยนแปลงทิศทางราคาหุ้นและดัชนีนั้น เราทราบการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หรือไม่ และจะจัดการอย่างไรกลับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพื่อให้ได้ประโยชน์ และทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่สร้างปัญหากับพอร์ตการลงทุน

สำหรับ จิตวิทยาการลงทุนระยะสั้นยังค่อนข้างเป็นจิตวิทยาตลาดเชิงบวก แม้ว่าความผันผวนของตลาดจะมากก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าตลาดระยะสั้นจะมีการปรับฐานราคาในตัว เช่น การย้ายตัวเล่น การขายทำกำไร ตลอดจนการลดน้ำหนักการลงทุน หากไม่แน่ใจในทิศทางตลาด แต่ที่สำคัญคือ การจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทิศทางตลาดที่คาดว่าในระยะแรกนั้น มีความไม่ชัดเจน ดังนั้น จึงต้องมองสมมติฐานว่า พฤติกรรมตลาดอย่างไรสะท้อนว่าผิดทิศผิดทาง ไก่ทองอ้างอิง 1. ดัชนีสูงสุดและต่ำสุดระหว่างวัน หากดัชนีขึ้นไปสูงมาก ๆ และปิดต่ำกว่าดัชนีเปิดมากกว่า 3 - 5 จุด และต่ำกว่าดัชนีสูงสุดประจำวันมากกว่า 2 เท่าให้ตั้งข้อสังเกตเชิงลบ 2.จำนวนหุ้นบวกและจำนวนหุ้นลบ หากตลาดจะดีจำนวนหุ้นบวกควรมากกว่า หุ้นลบ 2/3 หรือมากกว่า 50 % ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ซื้อขาย แสดงให้เห็นว่าหุ้นจะเลือกที่จะ "ใส่เสื้อเขียว" ไม่ใช่ "ใส่เสื้อแดง" 3.ราคาหุ้นกลุ่มนำตลาดที่มีอิทธิพลต่อทิศทางดัชนีมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับ ข้อ 1 หรือ 2 หรือไม่ หากใช่ แสดงว่าโอกาสที่ตลาดจะไม่ดีเริ่มชัดเจนขึ้น 4. หากราคาหุ้นหน้าแรกของหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายมีความผันผวนมาก คือวิ่งแดนบวกและแดนลบ แต่มีแนวโน้มของการวิ่งในแดนลบมากกว่าแดนบวกแสดงว่าตลาดเริ่มมีแนวโน้มไปทาง ลบ 5. หากมูลค่าการซื้อขายสูงสุด หรือใกล้เคียงมูลค่าสูงสุดที่เคยซื้อขายกันในรอบนั้น ๆ 6. หากตลาดหุ้นต่างประเทศดิ่งเหวถ้วนหน้า ไม่ต้องคิดอะไร เตรียมใส่หลวงพ่อโกยถือเงินสดในหุ้นที่มีกำไร หรือหุ้นที่คิดว่าถือแล้วไม่มีอนาคต เพราะหุ้นกลุ่มนี้เวลาตลาดดีไม่ดี แต่เวลาตลาดไม่ดีก็ไม่ดีตามเขาด้วย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ระยะสั้นคาดว่ายังเน้นการเก็งกำไรในหลักทรัพย์รายตัว ที่คาดว่ายังมีศักยภาพสำหรับการปรับตัวขึ้น ด้วยเหตุผลทั้งด้านสภาพคล่อง โครงสร้างทางเทคนิค และฐานะของกิจการ แต่ระดับราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรืออาจจะยังถูกมองผ่านจากนักเก็งกำไร แต่ที่สำคัญ ควรเป็นหุ้นประเภทที่สามารถสวนกับจิตวิทยาตลาดได้ หากมีความผันผวนเกิดขึ้นระหว่างการซื้อขาย ซึ่งแม้ว่าจะเป็นโจทย์ที่ยากกว่าการเลือกหุ้นประเภทติด Top 40 ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด แต่บ่อยครั้งที่ความสำเร็จอาจจะเกิดขึ้นจากการเลือกหุ้นสำหรับคนที่มองว่า ราคาหุ้นแพงไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่มักจะเกิดขึ้น ในแต่ละภาวะตลาด กล่าวคือ เวลาแนวโน้มตลาดหุ้นอยู่ในทิศทางขึ้น นักลงทุนมักมองจุดต่ำของราคาเป็นจุดอ้างอิง เหมือนรถไฟที่เดินทางออกจากหัวลำโพงขึ้นเหนือแล้ว มาถึงบางซื่อก็ไม่ย้อนกลับไปหัวลำโพงให้คนที่รอขึ้นให้เสียเวลา หากคนที่รออยากไปเชียงใหม่จริง ๆ อาจจะต้องว่าจ้างแท็กซี่ให้วิ่งไปดักหน้ารถไฟที่เชียงราก หรือเปรียบเหมือนกับค่าเงินบาท หรือราคาน้ำมัน ราคาตลาดอยู่ที่ไหน หากคิดจะใช้บริการก็ต้องใช้ราคาตลาด อะไรประมาณนั้น ซึ่งเรื่องอย่างนี้บอกได้เลยว่า "ทำใจลำบาก" แต่หากใจรักก็ต้องตัดสินใจกัน

สำหรับหุ้นที่คาดว่ายังสามารถ หาจังหวะ และโอกาสเสี่ยงในลักษณะกึ่งลงทุนกึ่งเก็งกำไรหากแนวโน้มตลาดยังเป็นใจ แต่หากตลาดไม่เป็นใจก็ถอยมาดูก่อนก็ได้ไม่มีใครบังคับ เพราะซื้อเอง ได้เองเสียเอง ที่สำคัญอย่าเชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผลประกอบการตัดสินใจในการลงทุน โดยหุ้นที่คาดว่าน่าติดตาม เช่น MCOT BEC CPF CPALL APURE ITD เป็นต้น

CPF ฐานแกร่งน่าลงทุน

ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นอย่างแรงเกินคาดทำจุดสูงสุดใหม่ ตามตลาดหุ้นหลายๆ แห่งในเอเชีย บรรยากาศการลงทุนกลับมาคึกคักพร้อมด้วยปริมาณการเทรดที่เพิ่มขึ้นมาก จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์อีกทำให้หุ้นในกลุ่มธนาคาร ไม่ค่อยโดดเด่นเหมือนช่วง 2-3 วันก่อน ความมั่นใจของนักลงทุนกลับมาอีกครั้งหลังตัวเลขความเชื่อมั่นของผู้สร้าง บ้านในสหรัฐพุ่งตามคาด ที่สำคัญที่สุดคือแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศและแรงซื้อจากกองทุนในประเทศ โดยโบรกเกอร์ฝรั่ง 4 แห่งที่เรามองว่ามีอิทธิพลกับตลาดหุ้นไทยมากที่สุดนั้นพร้อมใจกันซื้อสุทธิ เป็นจำนวนมาก หุ้นที่ขึ้นมาแรงรอบนี้ถึงแม้กำไรของบจ.ที่ประกาศออกมาจะไม่สอดคล้องกับราคา หุ้นที่ขึ้นมาแรง แต่ SET ก็ปรับตัวขึ้นไม่หยุดเพราะสภาพคล่องในระบบที่มีอยู่มาก น่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเงินที่มีผลตอบแทนต่ำมากมาสู่สินทรัพย์ที่มี ความเสี่ยงสูงขึ้น ถึงแม้ปัญหาไข้หวัดใหญ่ 2009 ซึ่งยังมีการระบาดไปในหลายประเทศ ยังไม่ได้ส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นแต่เราเริ่มจะมีความกังวลมากขึ้นเพราะตัวเลข ยอดผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกสักพังเชื่อว่าจะมีผลกระทบกับการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจแน่นอน เมื่อวานเรื่ยกได้ว่าทั้งนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันในประเทศลุยซื้อหุ้น กันอย่างหนักแทบจะไม่มีอ่อนตัวลงเลยทั้งวัน ส่วนนักลงทุนทั่วไปมองเหมือนๆ กันว่าขายแถวๆ แนวต้านซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม เดิมเรามองว่ารอบนี้จบรอบไปแล้วแต่ SET กลับขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่แบบนี้แสดงว่าเม็ดเงินน่ามีมากจริงๆ จากจุดนี้ซึ่งสูงกว่า 550 จุด และอยู่ในภาวะที่ overbought มากๆ ถ้าจะเล่นเก็งกำไรก็ต้องให้ความระมัดระวังมากๆ แนวต้าน 562 จุด แนวรับ 540 จุด

CPF ราคาหุ้นของ CPF ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง เป็นไปตามผลประกอบการของ CPF ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาสินค้า กำไรปกติก็เพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจาก CPALL ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเรายังคาดว่ากำไรของ CPF จะยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก เนื่องจากโดยกำไรปกติของ CPF ใน 1Q52 มีสัดส่วน 23% ของประมาณการทั้งปี ดังนั้นจึงเชื่อว่ากำไรของ CPF จะเติบโตต่อเนื่องใน 2Q52 และ 3Q52 และเราจะทำการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายเพื่อสะท้อนผลกำไรที่ สูงกว่าคาดใน 1Q52 รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจาก CPI ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" CPF ที่ราคาเป้าหมาย 4.4 บาท

KTC สัญญาณทางเทคนิคมีสัญญาณการปรับตัวขึ้นรอบใหม่ หลังจากเมื่อช่วงต้นเดือนปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรง ก่อนจะมาพักตัว 9 บาทกว่าๆ มาได้ 4 วันทำการแล้ว เมื่อวานนี้มีการทำจุดสูงสุดใหม่ แล้ว Low ก็ยกสูงขึ้น แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" KTC ให้ราคาเป้าหมายแรกที่ 11 บาท

Thunhoon